เล่าเรื่องผี

เป็นผีหรือเห็นผี? เหตุเกิดในคืนฝนตก

เรื่องนี้เป็นเรื่องที่คุณหนึ่ง เกียร์ 8 ได้รับฟังมาอีกทีหนึ่ง แล้วนำมาถ่ายทอดให้ฟังในหลายรายการ ทั้งเดอะช็อค อังคารคลุมโปง ฯลฯ เกี่ยวกับเหตุการณ์หลอนที่ ‘คุณโจ’ เจ้าของเรื่องตัวจริง พบเจอมาเมื่อราว 7-8 ปีก่อน ครั้งเมื่อเย็นวันหนึ่ง ขณะคุณโจเข้าไปหลบฝนที่ศาลากลางทาง แล้วถูกคน(?)แปลกๆทักขึ้นว่า “ผมเป็นผี” กับตอนจบสุดหักมุม ที่ยากจะคาดเดาชนิดที่ว่าหงายเงิบกันไปเลย

ย้อนกลับไปเมื่อตอนปี 2557 คุณโจเป็นพนักงานบริษัทเอกชนแห่งหนึ่งในกทม. คุณโจได้รับข้อเสนอจากทางบริษัทแม่ที่ตนทำงานอยู่ว่า ทางบริษัทสาขาในต่างจังหวัด มีความต้องการพนักงานเพิ่ม เลยมีโครงการให้พนักงานเดิมที่มีภูมิลำเนาในจังหวัดนั้นๆ ย้ายกลับถิ่นฐานไปทำงานกับสาขาได้ คุณโจเห็นว่าเป็นข้อเสนอที่ดี หนึ่งคือได้เงินเดือนเพิ่มนิดหน่อย สองคือได้กลับบ้านไปอยู่กับพ่อและแม่ที่ต่างจังหวัด

แต่คนที่ดูจะดีใจกับเรื่องนี้ที่สุด เห็นจะเป็น ‘แป้ง’ ลูกพี่ลูกน้องของคุณโจ เธอเป็นลูกสาวอาคุณโจ สาเหตุก็เพราะในทุกๆวัน แป้งต้องขี่มอเตอร์ไซค์จากบ้านเข้าตัวเมืองไปทำงานหลายสิบกิโลเมตร ในขณะที่ข้างทางก็เต็มไปด้วยป่าหญ้ารกชัฏชวนสะพรึง จนคุณโจยังอดถามไม่ได้ว่า ‘แป้งไม่กลัวบ้างเหรอ?’ แต่ลูกพี่ลูกน้องตอบกลับมาว่า…

“แป้งออกจากบ้าน 7 โมงเช้า กลับ 4 โมงเย็น กลางวันแสกๆ จะมีอะไรให้กลัวล่ะพี่?”

อย่างไรก็ตาม การที่ได้คุณโจกลับมาอยู่ในหมู่บ้าน เท่ากับว่าในทุกๆวัน แป้งก็จะติดสอยห้อยตาม ซ้อนมอเตอร์ไซค์ไปทำงานพร้อมกับคุณโจได้ เหตุการณ์ก็เป็นเช่นนี้อยู่ 4-5 เดือน กระทั่งเย็นวันหนึ่งที่ฝนเริ่มตั้งเค้า เมฆดำส่งกลิ่นชื้นลอยมาแต่ไกล คุณโจมองออกไปที่หน้าต่างดูกลุ่มเมฆด้วยสายตาเหงาๆ ตอนนี้ใกล้ 5 โมงเย็นเข้ามาทุกที แต่เขาต้องรอจนกว่าเข็มยาวจะเดินไปทับเลข 12 เพื่อจะได้สแกนนิ้วกลับบ้านได้ แบบที่ไม่มีปัญหาภายหลัง

คุณโจเดินตรงไปที่รถมอเตอร์ไซค์คันเก่ง แป้งมายืนรออยู่พักนึงแล้วร้องทัก

“ไปเร็วพี่ ฝนจะตกแล้วเนี่ย”

คุณโจก็แซวทีเล่นที่จริง ‘อยู่ใต้ฟ้าจะกลัวฝนทำไม’ ทำเป็นไม่เคยโดนฝนไปได้ ถ้าตกหนักอย่างมากก็จอดแวะข้างทาง แต่แป้งชูโทรศัพท์ ‘ไอโฟน’ เครื่องโปรดขึ้นมาเป็นเชิงสัญลักษณ์ว่า เธอหวงโทรศัพท์ต่างหากล่ะ คุณโจก็แอบขำอยู่ในใน ก็เด็กสาวสมัยนี้หวงมือถือยิ่งกว่าอะไร คงจะเพราะพึ่งซื้อมาใหม่กระมัง …แต่หากมาลองคิดดูดีๆในภายหลัง จะพบว่าการที่แป้ง ‘ห่วงโทรศัพท์’ มีเหตุผลลึกลับซ่อนอยู่ คุณโจเลยไขเบาะมอเตอร์ไซค์ก่อนจะเอากระเป๋าสะพายข้างยัดลงไป เขาไม่พูดพร่ำทำเพลงต่อ แล้วออกตัวรถทันที

คุณโจกับแป้งขี่มอเตอร์ไซค์ไปได้ราว 10 กิโลเมตร ก็เจอกับปัญหาที่คาดไว้จริงๆ ฝนตกลงมาหนักขึ้นทุกทีจนไม่สามารถทนฝ่าไปได้ เลยตัดสินใจจอดแวะพักที่ศาลาไม้ริมทาง เนื่องด้วยวันนี้ฟ้าฝนกระหน่ำ ทำให้ 5 โมงเย็นดูมืดไวผิดตา พอรถจอดสนิ แป้งรีบวิ่งดิ่งเข้าศาลาทันที คุณโจตามเข้าไปพร้อมผ้าขนหนูผืนเล็กยื่นให้แป้ง แต่แทนที่เธอจะเช็ดหน้าเช็ดตา กลับเช็ดโทรศัพท์จนแห้งก่อน ระหว่างนั้นฝนยังคงตกอย่างต่อเนื่อง แถมมีฟ้าแลบฟ้าร้องคำรามไปทั่วบริเวณ ในจังหวะที่ฟ้าแลบ ‘แว่บบ’ ความสว่างสไวในชั่วอึดใจ ส่องให้เห็นอะไรบางอย่างที่น่าขนลุก

“อุ๊ยยยยย”

เสียงแป้งร้องตกใจ ก่อนพยักเผยิดหน้าไปด้านหลัง เป็นนัยว่าเธอพบเจอบางอย่างที่ไม่คาดคิดลึกเข้าไปด้านในศาลา คุณโจหันกลับไปมองก็ตกใจเช่นกัน ภายในความมืดสลัวใต้เงาหลังคาของศาลา มีร่างใครบางคนนั่งตะคุ่มอยู่ที่ม้านั่ง ทั้งๆที่ก่อนจะเข้ามาคุณโจไม่สังเกตเห็น ทันใดนั้นเอง ฟ้าแลบขึ้นอีกครั้ง คราวนี้คุณโจเห็นร่างนั้นอย่างชัดเจน เป็นชายเนื้อตัวมอมแมม หัวยุ่งเป็นรังนก ดูราวกับวนิพกพเนจรหรือคนไร้บ้านยังไงยังงั้น แต่สิ่งที่ทำให้ชายคนนั้นดูแปลกแยกกับสิ่งอื่นรอบข้าง คือเสียงครางในลำคอ ‘อืออออ… อืออออ…”

คุณโจรู้สึกใจหวิวๆ ในใจภาวนาอยากให้เป็น ‘ผี’ มากกว่าคนด้วยซ้ำ อย่างน้อยถ้าเป็นผีที่ไม่มีกรรมผูกพันกันก็ต่างคนต่างอยู่ แต่กับคนที่ไม่รู้หัวนอนปลายเท้า ในที่มืดเปลี่ยวเช่นนี้ ชวนให้ไม่น่าไว้ใจอย่างยิ่ง คุณโจอดกลัวไม่ได้เหมือนกัน ว่าถ้าหมอนั่นเกิดลุกตรงเข้ามาหาทั้งคู่ จะทำอย่างไรดี คุณโจเลยพยายามไม่คลาดสายตา คอยเหลือบไปมองอยู่บ่อยๆในระหว่างที่ต้องรอฝนหยุดตกเกือบครึ่งชั่วโมง แต่แล้วสิ่งที่คุณโจไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น ท่ามกลางเสียงฝนกระทบหลังคาดังราวกับลำโพงแตก มันมีเสียงของชายคนนั้นปนเข้ามาด้วย…

“ผม…เป็นผี ผะ…ผมเป็นผี”

อะไรนะ! หมอนั่นมันว่ายังไงนะ แต่พอได้ยินอยู่สองสามรอบ ‘ผมเป็นผี… ผมเป็นผี’ นายคนนั้นยังคงพูดต่อไปซ้ำๆ ในขณะที่นั่งกอดเข่าคู้ตัวสั่นๆ ขนทั่วทั้งตัวของคุณโจพร้อมใจกันลุกแบบไม่ได้นัดหมาย แป้งก็มีอาการกระสับกระส่ายอย่างเห็นได้ชัด กระทั่งฝนเริ่มซาลงแป้งเลยสะกิดบอกคุณโจ ‘พี่ๆ ไปเลยกีกว่า’ เลยตัดสินใจขึ้นควบมอเตอร์ไซค์ฝ่าฝนไปเลย ตอนที่ออกตัวมาได้ไม่กี่สิบเมตร ฟ้าก็แลบขึ้นอีกครั้ง เผยให้เห็นในกระจกมองข้างว่า… ชายผู้ประกาศตนว่า ‘เป็นผี’ กำลังวิ่งไล่ตามมาทางพวกเขา แน่นอนว่าคุณโจบิดอย่างแรง จนหายลับตาไป

กว่าจะมาถึงบ้านก็ 6 โมงกว่าเข้าไปแล้ว ตอนที่เลี้ยวเข้าซอยหมู่บ้าน หมาทั้งซอยที่คุณโจคุ้นเคย แจกข้าวแจกน้ำกันอยู่บ่อยๆ ก็พร้อมใจกันเห่าหอนมาทางพวกเขา จนแอบคิดหวั่นใจว่า ‘หรือมันจะตามเรามาด้วย?’ พอถึงหน้าบ้านของแป้ง แป้งก็ลงไปไขรั้วเลื่อนหน้าบ้านให้คุณโจนำรถเข้าไปจอด จากนั้นต่างคนต่างก็แยกย้ายเข้าบ้าน ซึ่งบ้านคุณโจอยู่เลยไปอีก 2 หลัง พอคุณโจมาถึงหน้าบ้านตน หมาที่เลี้ยงไว้ก็ขู่ฟ่อๆทันที หมาที่เคยน่ารัก ทั้งเชื่องและแสนรู้ วันนี้กลับพลิกหน้ามือเป็นหลังมือ ทันใดนั้นเอง ดูเหมือนคุณแม่คุณโจจะได้ยินเสียงหมาเห่า เลยเปิดหน้าต่างออกมาต้อนรับคุณโจ ด้วยอารมณ์หงุดหงิดระคนร้อนใจ

“ไอโจจจ ไปมัดหัวอยู่ไหนมา ทำไมกลับมามืดค่ำเอาป่านนี้!”

“ฝนมันตกจ่ะแม่ จะให้ขับฝ่ามายังไง”

“แล้วทำไมเอ็งไม่รับโทรศัพท์ ทั้งพ่อทั้งอาโทรตามแกเป็นร้อยๆครั้ง เอ็งไม่รู้เหรอ…ว่าอีแป้งน้องเอ็งโดนรถชนตายเมื่อเย็นนี้!!”

“เห้ยยยยยยย! ว่าไงนะแม่ แม่พูดอะไรเนี่ย”

คุณโจก็ยืนยันเสียงแข็ง ว่าตนขี่รถมากับแป้งจริงๆ ระหว่างทางเจออะไรมาบ้าง กระทั่งจอดส่งน้องที่บ้าน แม่คุณโจก็บอกให้ดูโทรศัพท์ซิ คุณโจหยิบมือถือขึ้นมาเช็ค มีพายุ missing call กระหน่ำเข้ามาจนนับไม่ถ้วนจริงๆ เหงื่อเริ่มออกตามง่ามนิ้วมือของคุณโจ จนมันลื่นซะจนแทบกำโทรศัพท์ไว้ไม่อยู่ คุณโจเดินย้อนกลับไปที่บ้านแป้งก็แทบหยุดหายใจ สิ่งที่พบมันทำให้ความหวังเล็กๆในใจเลือนหายไปในทันที

‘รถมอเตอร์ไซค์ที่คุณโจพึ่งเอาเข้าไปจอดในบ้าน โดยที่แป้งเปิดประตูรั้วให้… บัดนี้มันยังถูกจอดไว้หน้าบ้านนอกรั้ว ในสภาพที่ยังมีกุญแจเสียบคาอยู่ ประตูรั้วเลื่อนก็ปิดสนิทพร้อมกับแม่กุญแจคล้องอยู่’

ราวกับสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อไม่กี่นาทีก่อน ไม่เคยเกิดขึ้น…

คุณโจรีบควบมอเตอร์ไซค์แล้วบิดกลับเข้าตัวจังหวัดอีกครั้ง คราวนี้เขาไม่ได้ไปทำงาน แต่ตรงไปที่โรงพยาบาล ซึ่งร่างของแป้งนอนสงบนิ่งอยู่ที่นั่น เมื่อไปถึงที่นั่นก็พบว่าทั้งพ่อ อา และเพื่อนร่วมงานแป้งอยู่ที่นั่นกันเต็ม พ่อคุณโจเห็นว่ามาช้าเลยสวดเข้าให้ชุดใหญ่ คุณโจเลยเล่าเรื่องที่พบให้ฟัง กลายเป็นว่านาทีนั้นไม่มีใครอยากตำหนิคุณโจแล้ว หลังสอบถามกับเพื่อนของแป้ง ได้ความว่าตอนที่เลิกงานเมื่อ 4 โมงเย็น ขณะเดินข้ามถนน จู่ๆก็มีรถพุ่งมาชนเธอ สภาพร่างเธอดูไม่ดีเอาซะเลย แต่น่าแปลกว่าโทรศัพท์ไอโฟนเครื่องเก่งของเธอนั้นไร้รอยขีดข่วน

เนื่องจากคืนนั้นมืดค่ำแล้ว ทางโรงพยาบาลจึงยังไม่อนุญาตให้นำร่างของแป้งกลับไปประกอบพิธีทางศาสนาได้ทันที คุณโจและพ่อกับอา เลยค้างคืนกันที่โรงแรมในตัวเมือง กระทั่งรุ่งเช้าถึงได้ทำเรื่องดำเนินการนำร่างเธอกลับไป อย่างไรก็ตาม ตามความเชื่อของคนแถบนั้น หากเป็นวิญญาณตายโหงจะไม่นำเข้าบ้าน ร่างของเธอจึงถูกส่งไปที่วัดทันที ส่วนคุณโจขณะกำลังขี่มอเตอร์ไซค์กลับ ก็นึกย้อนถึงเหตุการเมื่อเย็นก่อน สิ่งที่ยังติดในใจคือ…ชายวนิพกที่ศาลาแห่งนั้น คุณโจเลยตรงไปที่นั่น

ชายวนิพกยังคงนั่งอยู่ในศาลาเหมือนคืนวาน หากแต่ครั้งนี้พบกันในสถานการณ์ที่อากาศสดใสยามเช้า อย่างไรก็ตาม ชายคนนั้นมีอาการตั่วสั่นไปด้วยความหวาดกลัวทันทีที่เห็นคุณโจ ‘อือออ… อืออออ…’ ชายคนนั้นคราง คุณโจเดินเข้าไปหาใกล้ๆ จนได้ยินเสียงชายคนนั้นพึมพำอย่างชัดเจน

“ผม…เ ็ น ผี ผะ ผ ม … เ ห็ น ผี”

เนื่องจากจอกันครั้งก่อน เสียงฝนกระหน่ำบวกกับจิตปรุงแต่งของคุณโจ ทำให้คุณโจฟังผิดไปว่าเป็น ‘ผม…เป็นผี’ แต่ประโยคแท้จริงที่ชายคนนั้นสื่อสารคือ ‘ผม…เห็นผี’ !!

เขาหวาดกลัว เพราะเขาเห็น…แป้ง!

คุณโจถึงกับเข่าทรุดนั่งลงกับพื้นศาลาข้างชายที่พึมพำไม่หยุดอยู่ครู่ใหญ่ ก่อนจะจากไปโดยทิ้งแบ็งค์ 100 สองใบไว้ให้ชายคนนั้น ไม่ว่าเขาจะต้องการมันหรือไม่

ในช่วงสวดอภิธรรมงานแป้ง คุณโจฝันเห็นเธอ เขาไม่ได้กลัว แต่ไม่รู้ว่าเธอต้องการจะสื่ออะไรถึงเขา คุณโจคิดไปว่า…แป้งอาจอยากได้ของใช้ส่วนตัวที่เธอหวงแหนอย่าง ‘ไอโฟน’ คุณโจเลยเป็นคนจัดการ นำไปใส่ไว้ในโลงให้ คืนถัดมาคุณโจยังคงฝันเห็นแป้งอีก แต่รอบนี้ดูชัดเจยกว่าครั้งก่อน …

Admin

05/02/2022

สาวข้างห้องตายซ้ำๆที่เดิม…ทุกสามทุ่ม

เรื่องนี้เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริงกับคุณซัน ที่ได้โทรมาเล่าผ่านรายการ The Shock FM

โดยตัวคุณซันนั้นนับถือศาสนาคริสต์ ที่ไม่ได้มีความเชื่อตามแบบพุทธอยู่แล้ว และคุณซันมีอาชีพเป็นนายแบบก็จะไป-กลับ
บ้านที่คุณซันอาศัยอยู่นั้นเป็นบ้านเดี่ยวและอาศัยอยู่คนเดียวเพราะครอบครัวอาศัยอยู่ตปท.กันหมด

คุณซันเองก็สนิทกับน้องข้างบ้านที่ชื่อก้อยและกิ๊ฟ จนนับถือเป็นพี่เป้นน้องกัน โดยห้องของก้อยอยู่ชั้นบนจะตรงกับห้องคุณซันพอดี คือถ้าหากว่าเปิดหน้าต่างห้องมาก้จะชนกันพอดี คุณซันและก้อยก็มักจะชอบพูดคุยกันผ่านทางหน้าต่างเป็นประจำ

และในวันนั้นคุณซันจะต้องเดินทางไปถ่ายแบบที่ตปท. เมื่อขึ้นเครื่องไปแฟนก็บอกกับแฟนรู้สึกใจไม่ดียังไงไม่รู้ รู้สึกแค่มันไม่ดี บ้านของคุณซันนั้นจะไม่มีคนอยู่ แต่จะจ้างแม่บ้านมาทำความสะอาดทุกวัน คือเข้างานตั้งแต่8โมงเช้า เลิกงาน5โมงเย็นเขาก็จะกลับบ้านไป

พอกลับจากตปท.มาถึงเมืองไทยก็ยังรู้สึกไม่ดีอยู่ พอกลับมาถึงบ้านก็มีข้อความจากก้อยส่งมา

‘กว่าจะกลับมาได้นะ นานเหลือเกินรอตั้งนาน’

พอคุณซันทำอะไรเสร็จก็ขึ้นไปบนห้องเพื่อจะคุยกับก้อย ก็เห็นห้องของก้อยเปิดไฟอยู่เป็นไฟจากพัดลมเพดานจะมีสีเหลืองๆส้มๆ ก็เห็นก้อยเดินออกมา ก็ทักทายกันตามปกติถามสารทุกข์สุขดิบเหมือนเคย พอคุณซันมองไปที่โรงรถบ้านก้อยก็ไม่เห็นรถพ่อกับแม่ของก้อยอยู่ คุณซันก็เลยถามว่าพ่อแม่ไม่อยู่หรอ ก้อยก็บอกว่าพ่อกับแม่ไปงานศพแล้วก้อยก็ถามคุณซันว่า

‘พี่ซัน ถ้าหนูทำอะไรไม่ดีพี่จะโกรธมั้ย’

ด้วยความเป็นห่วงคุณซันก็บอกว่า ‘ถ้าไม่ดีมากก็โกรธแหละแต่ไม่มากหรอก แต่มีอะไรก็ต้องบอกพี่นะ’ ก้อยก็ตอบว่า ‘หนูก็อยากบอกนะ แต่พี่ไม่อยู่’

คุณซันก็เลยบอกว่า ‘นี่ไงพี่กลับมาแล้วมีอะไรก็บอก’ ก้อยก็ตอบว่า ‘ยังอ่ะ ยังไม่บอกหรอก ไว้ค่อยบอกทีหลัง’

หลังจากนั้นก็ไม่ได้อะไรก็คุยกันปกติ พอสักประมาน3ทุ่มแฟนคุณซันก็โทรเข้ามา พอคุณซันหันกลับมามองไปที่หน้าต่างก็เห็นก้อยปิดม่านแต่ไฟยังเปิด ภาพที่เห็นก็จะเป็นเงาของก้อนเดินอยู่ในห้อง คุณซันก็คุยกับแฟนอยู่แต่สายตาก็เห็นก้อยเดินขึ้นไปบนเตียงและยืนอยู่อย่างนั้นไม่ไปไหน

คุณซันก็ว่าทำไมก้อยมายืนบนเตียง ไม่ยอมไปนอนก็เลยส่งข้อความไปแกล้งแซวว่า ‘ยืนทำไรไม่นอน ยืนไปก็ไม่สวยหรอก’ แต่ก็ไม่มีข้อความตอบกลับ สักพักไฟก็ดับไปแต่คุณซันก็ไม่เห็นว่าก้อยจะเดินไปปิดไฟหรืออะไรเลย

แฟนคุณซันถามว่าได้ให้ผ้าพันคอน้องก้อยไปรึยัง น้องก้อยนั้นเป็นคนชอบผ้าพันคอมาก เวลาคุณซันไปเที่ยวหรือไปถ่ายงานก็มักจะซื้อผ้าพันคอมาให้ตลอด พอตอนตี5 คุณซันก็ได้ยินเสียงของก้อยมาตะโดนเรียก ‘พี่ซัน’ คุณซันได้ยินเสียงก็ตื่นแล้วก็เดินไปถามว่ามีอะไร ก้อยก็บอกว่าไม่มีอะไรแค่มาปลุก

คุณซันเลยขอตัวไปอาบน้ำเพราะมีนัดกินข้าวเช้ากับแฟน พอลงมาก็ยังไม่เจอแม่บ้านเพราะแม่บ้านเข้า8โมงเช้า พอกลับมาถึงบ้านก็ดึกอีก พอขึ้นมาข้างบนห้องก็เห็นก้อยนั้งอยู่ คุณซันก็ถามกับก้อย ‘อ้าวก้อย พ่อกับแม่ไปงานศพอีกแล้วหรอ’ ก้อยก็ตอบว่า ‘ใช่’

‘แล้วกิ๊ฟอ่ะ’ ก้อยก็ตอบว่า ‘ไปกันหมดเลย’ คุณซันเองก็แปลกใจว่าทำไมก้อยถึงอยู่บ้านคนเดียวไม่ไปงานศพด้วยแต่ก็ไม่สนใจอะไรมาก คุณซันก็เลยบอกกับก้อยว่า ‘เนี่ยพี่ซื้อผ้าพันคอมาให้ เดี๋ยวเอาลงไปให้’ ก้อยก็บอกว่า ‘ไม่ต้องหรอกเดี๋ยวพรุ่งนี้ค่อยให้ก็ได้’

ก็คุยกันไปสักพักก้อยก็เดินหายเข้าไปในห้องแล้วก็หยิบผ้าพันคอมา2ผืน แล้วก็ถามคุณซันว่าพี่จำผ้าพันคอนี้ได้มั้ย คุณซันก็บอกจำได้ ก้อยบอกว่ามันเป็นผืนแรกที่พี่ให้ก้อยส่วนอีกผืนเป็นผืนที่ก้อยชอบมากที่สุด คุณซันก็แซวว่าพี่ซื้อให้ก้อยก็บอกว่าชอบหมดแหละ

ก็คุยกันสักพักคุณซันขอตัวลงไปข้างล่าง พอขึ้นมาบนห้องก็เป็นเวลา3ทุ่ม ก็เห็นว่าก้อยปิดหน้าต่างปิดม่านแล้วแต่ยังเปิดไฟที่ติดกับพัดลมอยู่ ก็จะเห็นเป็นเงาของก้อยอยู่ในห้อง ภาพที่เห็นก็ยังคงเป็นแบบคืนก่อนคือก้อยขึ้นไปยืนอยู่บนเตียงสักพักแล้วไฟก็ดับไป คุณซันเห็นแบบนั้นก็ไม่อยากกวน เลยโทรศัพท์คุยกับแฟนก็เลยคุยถึงเรื่องเมื่อเช้าที่ยังคงบ่นกับแฟนว่ายังรู้สึกไม่ดีอยู่ นอนก็ไม่ค่อยหลับ

พอตอนเช้าตื่นมาก็ประมาน7โมงกว่าๆ อาบน้ำลงมาข้างล่างก็เห็แม่บ้านทำความสะอาดอยู่ คุณซันก็คุยกับแม่บ้านว่าเนี่ยข้างบ้านเค้าไปงานศพ 2 วันติดเลย แม่บ้านก็บอกว่า

‘คุณซันไม่รู้หรอว่าลูกสาวบ้านนั้นเค้าเสีย’

คุณซันตกใจก็คิดว่าเป็นกิ๊ฟน้องของก้อย แต่ไม่ใช่กลายเป็นก้อยเองที่เสียชีวิต คุณซันไม่เชื่อก็แย้งว่าจะเป็นไปได้ไงเพราะก็เพิ่งคุยกับก้อยมาเอง คุณซันรีบวิ่งขึ้นไปบนห้องแล้วตะโดนไปที่ห้องของก้อยก็ไม่มีใครตอบรับ คุณซันเลยรับวิ่งไปที่บ้านของก้อยไปตะโดนเรียกแม่กับพ่อของก้อย ก็ได้ความว่าก้อยผูกคอในห้องนอนของตัวเอง

คุณซันแทบไม่อยากเชื่อเลยวิ่งขึ้นไปที่ห้องของก้อยก็เห็นผ้าพันคอที่คุณซันซื้อให้ผืนแรกกับผืนที่ก้อยชอบคล้องเป็นห่วงอยู่ที่พัดลมเพดาน พัดลมเพดานนี้ก้อยก็ติดตั้ง ตามที่คุณซันแนะนำ ที่ตัวพัดลมจะมีไฟอยู่ด้วยพอเปิดก็จะเป็นแสงสีส้มๆนวลๆ สรุปได้ว่าก้อยใช้ผ้าพันคอนั้นผูกคอกับพัดลม

ในวันที่คุณซันกลับมาถึงวันแรกที่ก้อยส่งข้อความมาหานั้นก้อยเสียไปแล้ว5วัน คุณซันเลยไปวันที่เผาก้อย ก่อนที่จะเผาก็จะมีเปิดโลงศพให้ดูเป็นครั้งสุดท้าย คุณซันก็ได้ใส่ผ้าพันคอลงไปในโลงของก้อยแล้วก็พูดว่า

‘มันเป็นผืนสุดท้ายที่พี่จะให้แล้วนะ’

‘แล้วพี่ก็ไม่ได้โกรธด้วย แต่ทำไมถึงไม่รอพี่’ คุณซันก็เอาผ้าพันคอใส่ลงไปในโลงของก้อยแล้วก็ยกโลงเข้าเตาเผาไป…

ในทุกๆวันเวลา3ทุ่ม คุณซันจะเห็นว่าห้องของก้อยเปิดไฟอยู่และเงาของก้อยจะยืนอยู่บนเตียงอย่างนั้นแล้วไฟก็ดับไป คุณซันไม่ได้กลัวกับสิ่งที่เห็น แต่เป็นความสงสารก้อยมากกว่า ที่จะต้องมาตายทุกวันเวลาเดิม จนกว่าจะครบ 100 วัน ตามความเชื่อที่ว่า…วิญญาณจะอยู่ในโลก 100 วันก่อนที่จะเดินทางไปปรโลก หรือแย่กว่านั้นก็จนกว่าหมดอายุขัยตัวเองจริงๆ

การที่จะต้องมาตายซ้ำๆนี้ คุณซันก็รู้มากจากเพื่อนที่เป็นคนพุทธว่าจะต้องทำซ้ำๆแบบนี้และจะไม่มีทางแก้ได้เพราะเป็นกรรมหนัก จนคุณซันทนดูภาพนั้นทุกๆวันไม่ไหวบวกกับยังทำใจไม่ได้เลยออกไปอยู่คอนโดแล้วก็ไม่กลับไปที่บ้านนั้นอีกถ้าไม่จำเป็น คุณซันเล่าด้วยเสียงสั่นเครือ… เรื่องราวก็มีเพียงเท่านี้

Admin

04/02/2022

เดอะช็อคติดต่อให้เล่าเรื่องผี…แต่ตายก่อน

หนึ่งในเรื่องเล่าที่มีสตอรี่น่าติดตามที่สุดเรื่องนึง จริงๆเรื่องเล่านี้เป็นเรื่องเล่าของทางบ้านจากสายที่ชื่อ ‘คุณแนน’ เธอโทรเข้ามาเล่าในรายการ ‘บิ๊กช็อค’ ทางสถานี Big fm ซึ่งเป็นรายการเรื่องผีที่มีทีมงานคุ้นหน้าคุ้นตาจากเดอะช็อค เพียงแต่ออกอากาศกันคนละสถานี คนละเวลากับรายการหลัก โดยวันนั้นมี ‘ขวัญ น้ำมั้นพราย’ ดีเจชื่อดังเป็นผู้จัดรายการ

เรื่องเล่าผีของคุณแนนมีอยู่ว่า ตัวคุณแนนนั้นประกอบอาชีพเป็นคนขับรถบรรทุก ไม่เพียงแต่ตัวเองเท่านั้น ทางครอบครัวของแฟน คือพ่อ แม่ หรือแฟนหนุ่ม ต่างก็ขับรถสิบล้อเช่นเดียวกัน โดยมีเส้นทางหลักคือกรุงเทพฯ-เชียงใหม่ เชียงใหม่-กรุงเทพฯ แม้กระทั่งในค่ำคืนนั้น คุณแนนก็โทรมาเล่าในรายการบิ๊กช็อค ขณะที่ตัวเองจอดพักรถบรรทุกในปั๊มระหว่างทาง

คุณแนนบอกว่า เมื่อไม่นานมานี้ ตนและแฟนขับรถบรรทักจากกรุงเทพฯสู่เชียงใหม่เหมือนอย่างเคย ระหว่างทางก่อนเข้าเชียงใหม่จะแวะพักในบ้านที่ลำปาง เพื่อนอนค้างคืน แต่คืนนั้นแฟนตนดูแปลกไป กล่าวคือแทนที่จะเข้าไปนอนในห้องด้วยกัน แฟนหนุ่มก็บ่นว่าอากาศร้อน นอนไม่ได้ จะขอออกไปนอนนอกห้อง หลังนอนไปสักพัก แฟนคุณแนนก็มีอาการนอนไม่หลับอีก บ่นว่าปวดหัว คุณแนนก็ถามว่า วันนี้ไม่ได้กิน ‘กาแฟ’ รึเปล่า แต่แฟนหนุ่มก็บอกว่าไม่ใช่

อย่างไรก็ตาม แฟนคุณแนนก็งอแงหงุดหงิด เลยจะออกไปหน้าบ้าน ทั้งๆที่ก็ดึกดื่นมากแล้ว ทันใดนั้น…หมาทั้งซอยก็รุมหอนประสานเสียงราววงออเครสตร้าชวนขนลุกมาทางบ้านคุณแนน คุณแนนเริ่มรู้สึกวิตกถึงบรรยากาศไม่ชอบมาพากล เลยชวนแฟนกลับเข้าข้างใน แต่แฟนเธอก็ยังคงดื้อดึงไม่ยอมเข้า กระทั่งคุณแนนต้องใช้จริต บอกว่าตนปวดท้องพาเข้าบ้านก่อน แฟนหนุ่มถึงยอมฟัง ก่อนจะพยุงคุณแนเข้าบ้าน

ขณะที่แฟนพยุงเธอเข้าประตู คุณแนนสังเกตเห็นอะไรบางอย่างที่ข้างรั้วบ้านที่เสียงประมาณเอว มันเป็นเงาดำที่ดูคล้ายเงาคน ยืนอยู่ชิดกับรั้วบ้าน ราวกับกำลังจับจ้องสอดส่อง มองพฤติกรรมคนในบ้านหลังนี้อย่างน่าขนลุก คุณแนนเหงื่อแตก รีบเร่งเร้าแฟนให้พาเข้าบ้านโดยเร็ว จากนั้นคุณแนนปิดประตูหน้าต่างทั้งหมด ร่วมทั้งรูดม่านทุกผืน คืนนั้นคุณแนนพยายามจะติดต่อพ่อกับแม่แฟน เพื่อจะปรึกษาบอกเล่าเกี่ยวกับสิ่งที่ตนพบเจอที่บ้าน แต่น่าเสียดายที่โทรยังไงก็ไม่มีคนรับสาย อาจเป็นได้ว่าทั้งคู่อาจอยู่ระหว่างขับรถ ไม่ว่างรับ เลยจำต้องเข้านอนทั้งๆที่กลัว

แต่สำหรับคุณแนนผู้น่าสงสาร นี่เป็นเพียงจุดเริ่มต้นของความกลัวเท่านั้น เพราะตอนเช้ามา เธอพบรอยเท้าปริศนา รอยเท้าเปื้อนโคลนที่ย่ำจากหน้าบ้าน ข้ามธรณีประตูเข้าไปภายในตัวบ้าน รอยที่ว่ายังตรงขึ้นบันไดไปสู่ชั้นสอง ก่อนจะหยุดที่หน้าประตูห้องนอนของเธอกับแฟน สิ่งนี้สร้างความวิตกให้แก่คุณแนนอย่างมาก เธอมั่นใจว่าก่อนนอน ตนได้ปิดและล็อคประตูอย่างดี แม้กระทั่งหน้าต่างทุกบาน ไม่มีทางที่หัวขโมยหรือใครก็ตามจะเข้ามาได้แน่ เธอพาเพื่อนบ้านแถวนั้นมาดูรอยที่ว่าด้วย ต่างก็ลงความเห็นไปในทางเดียวกัน ว่ามันเป็นรอยเท้าคน(?)จริงๆ

คุณแนนพยายามติดต่อกับพ่อแม่แฟนอีกครั้ง ในเช้าวันนั้น แต่ความสะพรึงที่สุดก็มาถึง คุณแนนได้รับข่าวร้าย เกิดอุบัติเหตุขึ้นขณะขับรถสิบล้อ พ่อแฟนเธอดับคาที่ ยังดีที่แม่แฟนไม่เป็นอะไรมาก โดยคำให้การของผู้พบเห็นเหตุการณ์ ซึ่งเป็นเพื่อนร่วมงานที่ขับรถบรรทุกอีกคันตามรถพ่อแม่แฟนของเธอ บอกว่า… ระหว่างทางมีอะไรบางอย่างตัดหน้ารถ ทำให้รถต้องหักหลบเข้าป่าข้างทางจนพลิกคว่ำ โดยที่คุณแนนก็ไม่แน่ใจว่า สิ่งที่ตนพบเจอเมื่อคืน รวมถึงรอยโคลนเมื่อเช้า มันเชื่อมโยงกับอุบัติเหตุมั้ย เป็นไปได้มั้ยว่ามันคือ ‘ลางบอกเหตุ’ ก่อนที่จะเกิดเรื่องเศร้า หรือแม้กระทั่ง ‘เงาดำ’ เจ้าของรอยเท้าปริศนา จะเป็นดวงวิญญาณของพ่อแฟน ที่กระเสือกกระสนกลับมาบ้าน?!

ดีเจขวัญน้ำมันพรายได้ฟังจบ ก็รู้สึกว่าเรื่องที่คุณแนนเล่านั้น มีบรรยากาศที่ชวนขนลุกดี เลยแนะนำให้คุณแนนนำไปเล่าในรายการดังอย่าง ‘เดอะช็อค fm’ อีกรอบหนึ่ง ผ่านไปหลายวันทางทีมงานเดอะช็อคอย่างคุณบี่บี๋ โทรติดต่อทางคุณแนนกลับมาว่า คืนนี้สะดวกหรือไม่ อยากให้เธอเข้าเล่าเรื่อง “ลางบอกเหตุ” ในรายการ ตั้งแต่หลังตีหนึ่งเป็นต้นไป ทางคุณแนนก็ตบปากรับคำเสียงเยียบเย็นว่า…

“ค่ะ…ได้ ค่ะ”

คืนนั้นทางทีมงานโทรติดต่อกลับไปหาคุณแนนอีกครั้ง เพื่อจะนัดคิวประสานงาน แต่โทรไปเท่าไหร่ก็ไม่มีคนรับสาย กระทั่งเที่ยงคืนกว่าๆสายจากคุณแนน ที่ทุกคนในห้องส่งรอคอยก็โทรเข้ามา แต่สิ่งที่จะสร้างความเซอไพรส์ให้คนฟัง ไม่ใชเรื่องเล่าผีที่คุณแนนเคยเล่า แต่กลับเป็นการแจ้งข่าวว่าตัวคุณแนนเอง ได้เสียชีวิตไปแล้วเช่นกัน เมื่อสามวันก่อน

เรื่องคือคนที่โทรกลับมาหาทีมงาน เป็นน้องสาวคุณแนน เธอเห็นเบอร์นี้ขึ้นมิสคอลล์หลายสายในโทรศัพท์ของพี่สาว เลยโทรกลับมาโดยไม่รู้ ทางทีมงานก็นึกว่าคุณแนนเลยทวงถามถึงสัญญาที่คุยกันไว้เมื่อกลางวัน แต่น้องสาวเธอกลับแสดงความแปลกใจออกมา…

“หาา อะไรนะ? จะโทรไปเล่าได้ยังไงคุณ พี่แนนแกเสียไปได้สามวันแล้วนะ”

“นี่หนูพึ่งจะมาเจอโทรศัพท์ มันอยู่ในตู้เสื้อผ้าของแก กำลังจะโทรแจ้งเพื่อนๆแก ว่าพี่แนนเสียแล้ว”

คุณบี่บี๋และทีมงานได้ฟังก็แปลกใจ มันจะเป็นไปได้หรือ ในเมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อน ตนพึ่งจะสนธนากับคุณแนนอยู่เลย คุณขวัญ น้ำมันพรายก็ย้ำถามกับน้องสาวคุณแนนว่า “เรื่องจริงเหรอครับ…ไม่ได้แกล้งล้อกันเล่นใช่มั้ย?”

“โธ่พี่… เรื่องแบบนี้ใครจะมาล้อเล่น”

นั่นเป็นคำตอบสั้นๆแต่เคลียร์ใจกันไป ว่ามันไม่ใช่เรื่องโกหก แต่อีกคำถามนึงที่ยังไม่ได้รับคำตอบ…คือ หากคุณแนนตายไปเมื่อสามวันก่อน แล้วใครกันเล่า ที่คุณบี่บี๋และทีมงานเดอะช็อคได้คุยด้วยตอนกลางวัน? ยิ่งกว่านั้น…ภายหลังมีทีมงานฝันแปลกๆ ว่าเห็นผู้หญิงแปลกหน้ามานั่งราวกับรอคอยอะไรบางอย่าง อยู่หน้าห้องจัดรายการ พอถามเธอก็บอกว่านั่งรอจะมาเล่าเรื่องสยองขวัญในรายการ บ้างก็มีคนเจอเหตุการณ์แปลกอย่าง ได้ยินเสียงเคาะที่โซฟา เวลาที่ทีมงานไปนอนงีบ และนี่ก็คือเรื่องราวทั้งหมด

Admin

03/02/2022

ผีรู้เลข…เพราะในโลกวิญญาณเวลามันเร็ว

ค่ำคืนวันที่ 31 ย่างเข้าวันที่ 1 สุชาติฝันประหลาด… ในฝันสุชาติพบชายชราที่บนใบหน้าเต็มไปด้วยรอยตีนกา สุชาติรู้สึกคับคล้ายคับคลา แต่นึกไม่ออก

“ไอหนุ่มๆ เอ็งง…จำข้าไม่ได้หรือวะ”

สุชาติจำเสียงแกได้ เสียงแบบนี้…เดี๋ยวก่อนนะ อ้อใช่ แกคือลุงด้วงยังไงล่ะ แต่แทนที่สุชาติจะยินดีปรีดากับข้อเท็จจริงที่ตนพึ่งค้นพบ มันกับทำให้เสียวสันหลังวาบไปทั้งตัว รูขุมขนทุกรูบนตัวเซ้นซิทีฟต่ออากาศขึ้นมาซะอย่างนั้น …ถ้าจำไม่ผิด ลุงด้วงพึ่งเสียชีวิตไปเมื่อเดือนก่อน

ในฝันแต่ความคมชัดระดับ HD ลุงด้วงยิงฟันซี่เหลืองอ๋อยอย่างอ่อนโยนเหมือนตอนยังมีชีวิตอยู่ ‘จำข้าได้สักทีสินะ เอ็งน่ะ’ สุชาติพยักหน้ารับคำ แต่สีหน้าบอกบุญไม่รับ ‘ข้ามีเรื่องให้เอ็งช่วย’ นั่นคือสิ่งที่สุชาติจับใจความสำคัญมาได้ หลังลุงด้วงท้าวความหลังสมัยที่รู้จักกันตอนยังไม่ตายอยู่พักใหญ่

“ข้าหิววววว ข้าหิวข้าวเหลือเกินนนน”

“ละ…แล้วทำไมลุงไม่ไปกินข้าว ลุงเป็นผี จะไปที่ไหนก็ได้ ไปตลาด ไปร้านข้าวแกงก็ได้ จะมาหาผมทามมายย~”

“ทำได้ที่ไหนล่ะ เจ้าโง่… ฟังให้ดีนะ อีกไม่กี่วัน ข้ากำลังจะไปสู่ภพภูมิอื่นแล้ว”

“ก็ดีแล้วนี่ลุง ได้ไปสู่สุขคติเถอะสักที รีบไปเถอะ”

“ข้ายังมีบางอย่างค้างคา ข้า…อยากกินข้าวหมูแดงร้านยายทองเป็นครั้งสุดท้ายย”

สุชาติใจชื้นขึ้นมาทันที โถ่เอ๋ย ที่แท้มาขอข้าวหมูแดงหรอกเหรอ นึกว่าจะมาหลอกมาหลอน ขอให้ทำเรื่องลำบากลำบน สุชาติเริ่มพูดอย่างคนถือไพ่เหนือกว่า ต่อรองกับลุงแกอย่างทีเล่นทีจริง

“มาขอกันง่ายๆ ฟรีๆอย่างนี้เหรอลุงงง แล้วทำไมต้องเป็นผม?”

“เอ็งเป็นคนจิตใจดี มีเมตตา ข้ารู้จักเองมานาน ข้าดูออกกก”

สุชาติไม่แน่ใจนักว่าควรยินดีกับคำชมยกยอของลุงด้วงมั้ย ‘หนอย จะหาว่ากูหัวอ่อนว่าง่ายงั้นเถอะ สงสัยจบงานนี้ ต้องไปบูชาหลวงพ่อดังๆมาอยู่ด้วยสักองค์ ไม่งั้นคงมีผีมาขอส่วนบุญทุกคืน’ สุชาติแอบคิดอยู่ในใจ

“ข้าไม่ได้มาใครกินฟรีๆโว้ยย” ลุงด้วงพูดอย่างรู้ใจ

“เอ็งรู้ใช่ไหม พรุ่งนี้วันอะไร?” ลุงด้วงถามหยั่งเชิง

“วันอังคารไงลุง เช้าผมมีธุระต้องไปทำ มีอะไรก็ว่าๆมาเถอะ”

“วันหวยออกโว้ยยย ไอนี่ เอ็งคงเคยได้ยินเรื่อง ‘หวยผีบอก’ ใช่มั้ย?” สุชาติถึงกับหูผึ่ง เมื่อได้ยินคำว่าหวย

“ข้าจะบอกเลขให้ล่ะกัน แต่เอ็งจะเชื่อหรือไม่เชื่อมันก็เรื่องของเอ็งนะ”

“เชื่อสิครับผมเชื่อ ได้โปรดบอกมาเถอะครับ” เขากล่าวออกมาเหมือนอีกฝ่ายเป็นญาติผู้ใหญ่ที่เคารพรักท่านหนึ่ง

“ได้สิวะ” ชายแก่ยิ้มออกมา “แต่มันก็มีข้อแม้เล็กน้อยนะ เอ็งจะเที่ยวไปซื้อสุ่มสี่สุ่มห้าไม่ได้”

“หวยที่จะถูกรางวัล ต้องไปซื้อกับแม่ค้าหวยคนที่ถีบจักรยานผ่านบ้านเอ็งทุกวันเท่านั้น”

“โอ๊ย ไม่มีปัญหา เดี๋ยวซักเจ็ดโมงก็คงผ่านมาหน้าบ้านผม”

“ไม่ได้ ๆ” ลุงด้วงส่ายหน้า “เอ็งซื้อที่หน้าบ้านไม่ได้ ต้องไปดักรอซื้อที่บ้านปากซอย”

“ทำไมต้องหน้าปากซอยล่ะลุง”

“เอ็งไม่ต้องรู้เยอะหรอก หน้าปากซอยก็หน้าปากซอยสิ”

“ครับ ๆ” สุชาติพยักหน้า “แล้วเลขที่ผมจะต้องซื้อล่ะ”

ลุงด้วงกระซิบที่ข้างหู “384”

ให้สามตัวเลยหรอวะ สุชาติใจเต้นตุบตับ 384…384…เขาจำมันได้ขึ้นใจ

“แล้วถ้าถูกขึ้นมาก็อย่าลืมสัญญาเสียล่ะ”

“สัญญาอะไรหรอ” สุชาติตื่นเต้นจนนึกไม่ออก

“เอ้า! ไอ้เวรตะไล ก็ข้าวหมูแดงไง ต้องเป็นร้านยายทองนะ ร้านอื่นข้ากินไม่ลง”

“ได้เลยลุง ถ้าถูกผมจัดให้ชุดใหญ่ไฟกระพริบเลย”

ชายแก่ยิ้ม “ดีมากถ้างั้นข้าไปล่ะนะ”

สุชาติสะดุ้งตื่นขึ้นมา เขามองไปรอบ ๆ พบว่าพระอาทิตย์ยังไม่ขึ้น หันไปมองนาฬิกาบนหัวเตียง บอกเวลา 04:36 น ความฝันเมื่อซักครู่ทำให้เขาไม่นึกอยากจะนอนต่อ ลุกขึ้นนั่งทบทวนถึงสิ่งต่าง ๆ

“384… 384… ต้องซื้อกับแม่ค้าหวยที่หน้าปากซอยเท่านั้น”

สุชาติรีบลุกขึ้นอาบน้ำแต่งตัว วันนี้เขามีภารกิจสำคัญ

สุชาติควบมอเตอร์ไซค์มาซุ่มอยู่หน้าปากซอยตั่งแต่06:46 นเข้าไหว้วานไอ้ป๋องเด็กที่ชอบมาวิ่งเล่นแถวปากซอยให้คอยสอดส่องมองดูแม่ค้าล็อตตารี่ถ้าเห็นว่าถีบจักรยานมาทางนี้ให้รีบโทรศัพท์เข้ามาที่เครื่อง

    ระหว่างรอสุชาติก็นึกทบทวนเรื่องราวต่างๆเคยมีญาติห่างๆของเขาคนหนึ่งประสบกับเหตุการณ์ในลักษณะนี้มีหญิงแก่ชุดขาวมาเข้าฝันบอกให้ไปซื้อหวยที่หน้าวัดปรากฏว่างวดนั้นแกได้ค่าขนมลูกไปสองหมื่นหรือยายเบิ่งบ้านข้าง 

ๆก็เคยเล่าว่าผีมาเข้าฝันบอกเลขแกไปสองตัวงวดนั้นทำเอาเจ้ามือแถวบ้านถึงกับล้มละลาย

    ทำไมผีจึงรู้ได้ว่าล๊อตตารี่จะออกเลขอะไรสุชาตินึกสงสัยคนที่ตายไปแล้วสามารถรู้อนาคตได้หรอครั้งหนึ่งเคยมีคนเล่าให้สุชาติฟังว่าเวลาในโลกของวิญญาณจะเร็วกว่าเวลาในโลกมนุษย์หนึ่งวันทำให้เหล่าวิญญาณสามารถรู้ตัวเลขได้ก่อนมนุษย์ถ้าเป็นแบบนั้นจริงๆพวกเขาก็น่าจะรู้ผลบอลผลมวยผลเลือกตั้งด้วย

    แต่ถ้ามาคิดถึงหลักความเป็นจริงทำไมเหล่าญาติพี่น้องของสุชาติที่ตายไปไม่มาเข้าฝันบอกเลขบ้างปล่อยให้ตนต้องอยู่อย่างอดมื้อกินมื้อไปวันๆสรุปมันเป็นยังไงกันแน่วะเรื่องนี้

    ตื๊ด…ตื๊ด….ตื๊ด…เสียงโทรศัพท์สั่นอยู่ในกระเป๋ากางเกงสุชาติล้วงมันขึ้นมาดูเป็นเบอร์ของไอ้ป๋องเขากดตัดสายทิ้งเป้าหมายกำลังใกล้เข้ามา

    แม่ค้าหวยเลี้ยวจักรยานเข้ามาในซอยจู่ๆก็มีชายคนหนึ่งวิ่งออกมาตัดหน้าพร้อมร้องตะโกน“เดี๋ยว! ซื้อหวยหน่อย” เธอเบรกเอี๊ยดขาตั้งปักลงพื้น

    “จะเอาเลขอะไรดีล่ะจ๊ะ” แม่ค้ากล่าวขณะเปิดแผงล็อตตารี่ให้อีกฝ่ายชม

    “อ่า…” สุชาติกวาดสายตามองดูสลากบนแผง384 อยู่ไหนหนอ384…นั่นไง! เขาเจอแล้วขายรวมชุดซะด้วยมีตั้งสิบใบอย่างน้อยถ้าถูกสามตัวท้ายก็ได้เงินราวสามหมื่นบาท

    โอ้แม่เจ้า! เงินสามหมื่นรออยู่ตรงหน้า

    สุชาติกำลังจะเอื้อมมือไปคว้าสลากแต่ขณะนั้น! ก็ได้มีเสียงหนึ่งดังขึ้นจากข้างหลัง…

    “มี384ไหมครับ”

    สุชาติหันขวับเจ้าของเสียงเป็นชายร่างใหญ่วัยกลางคนกำลังยืนอยู่ด้านหลังเขารู้สึกคุ้นๆกับใบหน้าของอีกฝ่ายอ๋อไอ้มาวินนี่เองมันมีอาชีพหลักเป็นคนขายลูกชิ้นทอดอยู่หน้าปากซอยมีอาชีพเสริมเป็นเซียนหวยคนแถวนี้สมญานามมันว่าไอสไตน์แห่งวงการล็อตตารี่

    “อ้าวพ่อมาวินนี่เองมีสิจ๊ะแต่ฉันขายเป็นชุดนะ” แม่ค้าหวยบอก

    มาวินยิ้มออกมา“เอามาทั้งชุดนั้นแหละครับ”

    “เดี๋ยวก่อน!” สุชาติเอ่ยขึ้นขณะที่เธอกำลังจะดึงสลากชุดนั้น

    แม่ค้าและเซียนหวยมองมาที่เขาอย่างแปลกใจ

    สุชาติบอก“คุณขายให้เขาไม่ได้นะครับผมกำลังจะหยิบหวยชุดนั้นอยู่แล้ว”

“ฮะ!” มาวินหันขวับมาทางแม่ค้า“จริงหรือเปล่าพี่”

“เอ่อ…ฉันเห็นเขาแค่มายืนเลือกนะ”

มาวินหันมาทางสุชาติ“แบบนี้ก็ไม่นับล่ะสิคุณแค่มายืนดู”

“ไม่ได้ๆผมกำลังจะหยิบเลขนั้นอยู่แล้วจู่ๆคุณก็โผล่มา”

แม่ค้าล็อตตารี่เห็นลูกค้ายืนเถียงกันเธอก็เสนอทางออกให้ทั้งสอง“เอาแบบนี้ดีไหมจ๊ะชุดนึงมันมีตั้งสิบใบแบ่งกันคนละครึ่งก็ได้นี่”

“ไม่ได้!” ทั้งสองกล่าวอย่างพร้อมเพรียงเงินตั้งสามหมื่นใครล่ะจะแบ่งให้โง่

“หวยนี่ผมคำนวณมาหลายคืนกว่าจะได้เลขออกมาไม่ใช่ง่ายๆขายให้ผมเถอะ” เซียนหวยกล่าว

“ไม่ได้ๆ” สุชาติสบตาอีกฝ่าย“กว่าจะได้เลขนี้มาผมก็ลำบากแทบแย่เหมือนกัน”

“แต่ผมเป็นคนบอกเธอก่อนนะเอาแบบนี้ดีไหม? ให้เธอเป็นคนเลือกเองดีกว่าว่าจะขายให้ใคร” มาวินหันไปทางแม่ค้าล็อตตารี่ “ดีไหมครับคุณพี่”

สุชาติรู้ว่าตนกำลังตกเป็นรอง ไอ้หมอนี่มันลูกค้าประจำ ถ้าให้เธอตัดสินยังไงเธอก็เลือกมันแน่ เขาต้องทำอะไรซักอย่าง “เอาแบบนี้ไหมพี่ ถ้าพี่ขายให้ผม ผมให้เงินเพิ่มอีกสองร้อย” สุชาติบอกขณะล้วงกระเป๋าสตางค์ออกมา

    แม่ค้าล็อตตารี่ตาลุกวาว หันมาทางสุชาติ ในใจอยากจะตอบตกลงแต่ก็เกรงใจลูกค้าประจำที่ยืนทำหน้ารถเมล์ไม่จอดรับอยู่ข้าง ๆ

    “หวยเท่าไหร่พี่ ผมเพิ่มให้สองร้อยห้าสิบ” มาวินไม่ยอมแพ้

    แม่ค้าหวยยืนทำอะไรไม่ถูก ในใจเชียร์ทั้งสองฝ่าย “ช…ชุดละพันจ้ะ”

    ฝ่ายสุชาติก็สู้ไม่ถอย ควักแบงค์พันกับแบงค์ห้าร้อยออกมา “ผมให้พันห้า”

    มาวินถึงกับต้องกลืนน้ำลาย เงินในกระเป๋าสตางค์มีไม่ถึงสองพัน แต่เมื่อโอกาสทองอยู่ตรงหน้า ใครล่ะจะยอมปล่อยให้หลุดมือ “ผ…ผมให้พันหก”

    “พันแปด” สุชาติพูดสวนทันควัน

    “พ…พัน…ก…เก้า” เซียนหวยกล่าวเสียงสั่น

    “พันเก้าห้าสิบ” สุชาติสู้ขาดใจ

    มาวินเห็นอีกฝ่ายไม่มีทีท่าว่าจะยอมแพ้ เขาจึงล้วงโทรศัพท์ขึ้นมา กดโทรไปหาที่บ้าน “ฮัลโหล…แม่หรอ ให้ไอ้จุกหยิบเงินมาให้พันซักสามพันสิ…เนี้ยกำลังยืนประมูลเลขที่บอกไว้อยู่น่ะ…เร็ว ๆ นะ แม่ค้าหวยเขารออยู่…เออจะเอามาซักสี่ห้าพันก็ได้นะ เผื่อต้องใช้” มาวินพูดเน้นประโยคสุดท้าย เขาหันไปบอกแม่ค้าล็อตตารี่ “ผมให้สองพัน”

    สุชาติพูดไม่ออก ในกระเป๋าเขามีเงินเพียงแค่สองพันบาท ล็อตตารี่ใบนั้นกำลังจะหลุดมือไป เขาสังเกตเกตอีกฝ่ายหันมายิ้มเยาะ

    มาวินรู้สึกว่าตนคือผู้ชนะ เมื่อเห็นท่าทีของคู่แข่งที่นิ่งไป “เดี๋ยวรอแปบนึงนะพี่ ลูกผมกำลังเอาตังมาให้” 

    สุชาติมองอีกฝ่ายอย่างเจ็บใจ ถึงประมูลสู้ไปยังไงก็แพ้ บ้านมันอยู่แค่หน้าปากซอย มีเงินสำรองไม่อั้น บ้าชะมัด!

    ระหว่างที่รอเงินมาส่ง สายตาของสุชาติก็จับจ้องไปที่ล็อตตารี่ชุดนั้น มันยังถูกติดอยู่บนแผงรอใครซักคนดึงออกมา เงินรางวัลสามหมื่นบาท กำลังจะหลุดลอยไป เอ…หรือว่าเราจะดึง…

    ไม่สิ! ทำแบบนั้นโจรชัด ๆ ได้ไปก็ขึ้นเงินไม่ได้อยู่ดี สุชาติพยายามคิดหาทองออก มันต้องมีซักทางสิ…

    จริงด้วย! เขานึกอะไรดี ๆ ขึ้นมา

    “ผมไม่เอาละ” สุชาติเอ่ยขึ้น “ผมขอเปลี่ยนเป็นเลข 483 แทนละกัน”

    มาวินที่ได้ยินคำพูดนั้นหันมาอย่างสงสัย “หา…”

    “คือผมเพิ่งมานึกได้น่ะ เลขที่คำนวณได้มา ผมยังไม่ได้กลับ จาก 384 ต้องกลับเป็น 483”

    มาวินถึงกับเข่าอ่อน จริงด้วยสิ ทำไมไอสไตน์แห่งวงการล็อตตารี่อย่างเขาถึงลืมเรื่องพื้นฐานแบบนี้ไปได้ ตัวเลขที่ได้มายังไม่ได้มีการตีความหรือกลับอะไรทั้งนั้น โอ…ให้ตายเถอะ 

    ระหว่างที่มาวินกำลังยืนหน้าซีด ไอ้จุกลูกของเขาเดินนำเงินมาส่ง “นี่ครับพ่อ” มาวินรับเงินสดมาอย่างเก้ ๆ กัก ๆ

    “เอ้าคุณ! รีบจ่ายไปสิ ผมรอซื้ออยู่” สุชาติที่ได้เห็นท่าทีลังเลของอีกฝ่าย กล่าวออกมาอย่างได้ใจ

    “อ…เอ่อ…ผมไม่…” มาวินพูดเสียงสั่น ความมั่นใจหายไปหมดสิ้น

    “อะไรกัน นี่จะไม่ซื้อหรอคุณ ตกลงราคาไปแล้วไม่ใช่หรอ”

    “คือ…เอ่อ…ผม…”

    สุชาติใช้จังหวะนั้นส่งเงินสองพันบาทให้แม่ค้าล๊อตตารี่ แล้วดึงสลากชุดนั้นออกมาจากแผง “ถ้าคุณไม่รับ ผมรับไว้เองก็ได้”

    มาวินหันขวับ “อ้าวเฮ้ย! เดี๋ยว…”

    “เมื่อกี้ผมถามคุณแล้วว่าจะรับไหม แต่คุณไม่ตอบ มันก็เท่ากับหวยชุดนี้เป็นของผม” สุชาติกล่าวออกมาอย่างสะใจ ก่อนจะรีบเดินไปขึ้นมอเตอร์ไซค์อย่างผู้ชนะ ปล่อยให้เซียนหวยหน้าโง่ยืนกุมขมับอย่างผู้ปราชัย

——————-

แม่ค้าล็อตตารี่ปั่นจักรยานไปตามทาง นี่เป็นการขายหวยที่พิสดารกว่าครั้งไหน ๆ โชคดีที่หลายคืนก่อนมีตาลุงคนหนึ่งมาบอกกับเธอว่า วันนี้จะมีลูกค้าสองคนมาแย่งกันประมูลเลข 384 เธอจึงได้นำเลขเหล่านั้นมารวมชุดขาย

    เธอไม่รู้ว่าเย็นนี้ล็อตตารี่ชุดนั้นจะทำให้ผู้ที่ซื้อกลายเป็นเศรษฐีหน้าใหม่หรือเปล่า แต่สิ่งที่เธอรู้ตอนนี้ก็คือ…

    เธอเองก็มีภารกิจ ต้องไปซื้อข้าวหมูแดงร้านยายทองสองห่อใหญ่!

ขอบคุณที่มาเรื่องเล่าผี : Pungpron (พังพรอน)

Admin

01/02/2022

เรื่องเล่าผี | อาศัยในบ้านกระสือ

เรื่องเล่าผีเรื่องนี้มาจากคุณนิ่ม คุณนิ่มบอกว่ามันเป็นเรื่องที่เล่าสืบต่อกันมาในจากรุ่นสู่รุ่น คุณนิ่มฟังมาจากคุณพ่อ คุณพ่อของคุณนิ่มก็รับฟังต่อมาจากคุณย่า และคุณย่าทวดตามลำดับ ย้อนกลับไปราว 50 ปีก่อน ในสมัยที่บ้านเมืองยังไม่ได้พัฒนาจนเจริญขนาดทุกวันนี้ ความเชื่อเรื่องภูตผีเป็นเรื่องที่ไม่ใครเล่า ไม่มีใครพูดหลังตะวันตกดินกัน ความหวาดกลัวต่อสิ่งที่พิสูจน์ได้ลำบากเหล่านี้ มันมากกว่าในทุกวันนี้มากๆ

หมู่บ้านแห่งหนึ่งในต่างจังหวัด ที่ซึ่งคุณย่าทวดของคุณนิ่ม อยู่ในสมัยสาวๆก็เช่นกัน คุณย่าทวดมีชื่อว่า ‘ย่าแจ่ม’ แถวนั้นมีเสียงเล่าลือกันว่า…พักนี้มีคนพบเจอ ‘ผีกระสือ’ ออกอาละวาดในหมู่บ้าน บ้างก็ว่าพบเจอแสงสว่างวูบวาบลอยไปมากลางทุ่งนายามค่ำคืน บ้างก็ว่ามีคนพบเจอซากปฏิกูลเลอะเทอะราวกับถูกตัวอะไรมาคุ้ยเขี่ย บ้างก็ว่าได้ยินเสียงกึงกังอยู่ใต้ถุนบ้านยามที่คนในบ้านหลับกัน ชาวบ้านค่อนข้างมั่นใจมาก ว่าในหมู่บ้านแห่งนี้ มีสิ่งที่เรียกว่ากระสืออยู่ แต่…ไม่รู้ว่าร่างจริงเป็นใคร

อยู่มาวันหนึ่งย่าแจ่มไปตกหลุมรักชอบพอกันกับ ‘ปู่เฉลิม’ ซึ่งในเวลานั้นก็เป็นหนุ่มจากหมู่บ้านข้างๆ กระทั่งทั้งคู่ตกลงอยู่กินร่วมกัน ย่าแจ่มก็เลยต้องย้ายไปร่วมหอกับสามีที่บ้านปู่เฉลิม บ้านหลังนี้เป็นบ้านไม้ 2 ชั้น สภาพค่อนข้างเก่าปอนพอดู ท่าทางคงถูกสร้างมานานแล้ว อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ทำให้ย่าแจ่มรู้สึกสะดุดอยู่ในใจ กลับเป็นกลิ่นเหม็นอับของอะไรบางอย่างที่บอกไม่ถูกเหมือนกัน บ้านหลังนี้ นอกจากตัวปู่เฉลิมแล้วยังมี ‘ยายหอม’ แม่ของแกอยู่อาศัยด้วยอีกคน

ในคืนแรกที่เป็นสมาชิกในบ้านหลังใหม่ อาจด้วยเพราะว่าแปลกที่แปลกทาง ทำให้ย่าแจ่มตื่นขึ้นมากลางดึก ด้วยความรู้สึกหนาวๆเล็กน้อย เมื่อมองไปทางปู่เฉลิมแกก็นอนหลับอยู่ข้างกัน แต่เมื่อย่าแจ่มกำลังจะล้มตัวลงนอนต่อ สายตาก็ดันไปสะดุดเข้ากับสิ่งผิดปกติบางอย่าง หน้าต่างไม้บานหนึ่งแง้มเผยอออกไปด้านนอก ย่าแจ่มรู้ที่มาของลมหนาวที่เล็ดลอดเข้ามาแล้ว เลยมุดออกมาจากมุ้งตรงไปที่หน้าต่างบ้านนั้น เพื่อจะปิดลงกลอนให้สนิท ทันใดนั้นเองย่าแจ่มก็หยุดเท้าชะงัก เพราะสังเกตเห็นแสงสีแดงวูบวาบๆ ลอดผ่านเข้ามากระทบบานหน้าต่าง…

‘แสงสีแดงวูบวาบ’ มันทำให้ย่าแจ่มนึกถึงเรื่องเล่าที่ชาวบ้านเค้าลือกัน… ‘มันมีกระสือในหมู่บ้านเรา แต่ไม่มีใครรู้ตัวตน’ ย่าแจ่มหันหลังแล้วรีบมุดกลับเข้าไปขดตัวในมุ้งด้วยความกังวล กระทั่งมีเสียง ‘ปังง’ ดังขึ้นมาทำลายความเงียบสงัดของค่ำคืนในชนบท ย่าแจ่มที่จ้องมองไปที่หน้าต่างไม่คลาดสายตาตั้งแต่เมื่อครู่ ไม่สามารถสะกดความสั่นอันเนื่องมาจากความกลัวได้อีกต่อไป เสียงดังปังเมื่อครู่นี่ มันเกิดจากเสียงหน้าต่างบานนั้น ถูกปิดกลับเข้ามาโดยใครบางคนจากด้านนอก และมันไม่ใช่หัวขโมยแน่ เพราะคงไม่มีใครลงทุนปีนขึ้นมาทำอะไรลับๆล่อๆถึงชั้น 2 ได้

ย่าแจ่มเผลอหลับไปตอนไหนก็ไม่รู้ รู้เพียงว่าเช้านี้แกดูอิดโรยเนื่องจากคงได้นอนไม่กี่ชั่วโมง ย่าแจ่มเล่าเรื่องประหลาดให้ปู่เฉลิมฟัง แต่ดูเหมือนปู่เฉลิมแกจะไม่ได้เห็นว่าเป็นสาระอะไร บทสนทนาเรื่องนี้ก็เลยจบไปแบบไม่ได้สานต่อ นอกจากทำกับข้าวกับปลาแล้ว ในฐานะสะใภ้ของบ้าน ย่าแจ่มก็ยังต้องทำงานบ้านด้วย ในช่วงสายระหว่างที่แกกวาดบ้านอยู่ ก็พบเข้ากับหยดเลือดปริศนาเป็นดวงๆตามพื้นไม้ ย่าแจ่มมองโลกในแง่ดีว่า คงมีใครไปเผลอเหยียบอะไรเข้าจนได้แผลกระมัง

ย่าแจ่มอยู่ในบ้านแทบทั้งวัน ในขณะที่ปู่เฉลอมออกไปทำงานข้างนอก แต่ที่น่าประหลาดใจคือ…ยายหอม แกไม่เคยออกมาจากห้องนอนบนชั้น 2 เลย ดูเหมือนแกอยากจะนอนอยู่ตลอดเวลา แต่ก็เข้าใจได้ว่า แม่สามีตนนั้นอายุก็มากโข เป็นไปได้ว่าต้องการพักผ่อนมากกว่าคนหนุ่มสาว แต่ย่าแจ่มก็อดเป็นห่วงไม่ได้ เลยขึ้นไปตามแกลงมากินข้าว

“แม่ ไม่ลงมากินข้าวเหรอจ้ะ นี่ก็เที่ยงแล้ว”

“เอ็งกินเถอะะ… ข้ากินแล้ว”

ย่าแจ่มก็สงสัยนิดหน่อย แกอยู่แต่ในห้องแล้วไป ‘กิน’ มาตอนไหน แต่ก็ไม่ได้เว้าซี้อะไร ด้วยเข้าใจว่าแกคงยังไม่หิว เลยตอบไปพอเป็นพิธี ตกเย็นย่าแจ่มยืนทำกับข้าวมือเย็นอยู่ในครัว ก็รู้สึกสะดุ้งตกใจขึ้นมา เพราะยายหอมเข้าหาอย่างกระทันหัน ย่าแจ่มก็ทักถามว่า “แม่หิวแล้วเหรอจ้ะ” แต่ดูเหมือนแกไม่ได้มาหาของกิน แกบอกว่าจะมาช่วยทำกับข้าว ทันทีที่แกเดินเข้ามาใกล้ ย่าแจ่มก็แทบเบือนหน้าหนี จากกลิ่นสาบที่โชยออกมาจากตัวแก อดแปลกใจไม่ได้ว่าแกไม่ยอมอาบน้ำหรืออย่างไรกัน อย่างไรก็ตามสภาพของยายหอมในช่วงเย็นกลับดูแข็งขันขึ้นมา

ช่วงหัวค่ำปู่เฉลิมก็กลับมาร่วมวงอาหารกับสมาชิกคนอื่น หลังกินเสร็จเรียบร้อย ย่าแจ่มก็ไปล้างจานล้างชามเก็บเข้าที่ จู่ๆก็รู้สึกง่วงขึ้นมาทั้งๆที่พึ่งจะทุ่มเศษๆ เลยกะว่าจะนอนแต่หัวค่ำแล้วกันคืนนี้ พอขึ้นไปบนชั้นสอง ก็พบว่าปู่เฉลิมนอนหลับเป็นตายอยู่ก่อนแล้ว พอหัวถึงหมอนย่าแจ่มก็หลับตามไปติดๆ จนกระทั่งตื่นมาตอนเช้า ย่าแจ่มก็ลงบันไดเพื่อตระเตรียมสำหรับมื้อเช้า จังหวะนั้นเองก็ได้กลิ่นคาวเหม็นคละคลุ้งไปทั่วบริเวณ แกอดสงสัยไม่ได้ว่าใครมาทำอะไรไว้แถวนี้ แต่ก็ไม่พบต้นสายปลายเหตุ เหตุการณ์ประหลาดๆในบ้านหลังนี้ดำเนินไปเป็นกิจวัตรอยู่ราว 2 สัปดาห์ ย่าแจ่มกับปู่เฉลิมต่างก็สุขีอัตตานัง ไม่เคยได้เบียดเบียนซึ่งกันและกัน ยามค่ำคืนเลย

ความอมทุกข์ของย่าแจ่ม เป็นเหตุให้แกออกไปพบปะกับเพื่อนฝูงในเวลากลางวัน ยามที่ว่างเว้นจากงานบ้านแล้ว อย่างไรก็ตามเรื่องที่แกเล่าให้เพื่อนพ้องน้องพี่ฟังดูจะสร้างความวิตกกังวลให้ผู้ฟังพอควร เลยได้รับการแนะนำว่า มีหมอธรรมท่านนึงแกเก่งกล้ามากอยู่ เลยพากันไปพบแกที่สำนัก พอย่าแจ่มเล่าเรื่องทุกอย่างซ้ำอีกหนึ่งรอบให้หมอธรรมฟัง เสียงหงุดหงิดระคนโมโห ก็หลุดออกมาจากปากแก

“ถึงขนาดนี้ นี่เอ็งอยู่เข้าไปได้ยังไง?!”

ย่าแจ่มกับเพื่อนๆก็พากันสงสัยระคนตกใจ ที่พ่อหมอว่ามาหมายถึงอะไร? หมอธรรมเจ้าสำนักก็แนะนำให้ย่าแจ่มปฏิบัติตามดังนี้

“คืนนี้เอ็งห้ามกินข้าวปลาอาหารเด็ดขาด น้ำก็ห้ามดื่ม ประตูและหน้าต่าง ให้ลงกลอนปิดสนิททุกบาน แล้วเอ็งจะได้รู้เอง”

คืนนั้นย่าแจ่มปฏิบัติตามคำสั่งของหมอธรรมทุกอย่าง แกทำท่าทางเป็นเคี้ยวข้าว พอคลาดสายตาก็คายทิ้งลงโถ น้ำก็ไม่ดื่ม หลังจากปู่เฉลิมหายเข้าห้องนอนไปแเล้วแกก็ล้างถ้วยชามตามปกติ น่าแปลกว่าวันนี้ย่าแจ่มไม่รู้สึกง่วงเหมือนในทุกวันที่ผ่านมา อย่างไรก็ตาม แกก็แกล้งทำเป็นเข้านอนแต่หัวค่ำเหมือนอย่างเคย ในห้องยายหอมกับปู่เฉลิมนอนหลับอยู่ก่อนแล้ว ก่อนย่าแจ่มจะเข้ามุ้งก็ไม่ลืมจะปิดประตูหน้าต่าง ลงกลอนแน่นหนาจนครบทุกบาน

‘ตึงๆ ตึงๆๆๆ…!’

‘ตึงๆ ตึงๆๆๆๆๆๆๆ !!’

ย่าแจ่มที่เบิกตาโพลงท่ามกลางความมืดสลัว จ้องมองหน้าต่างมาตั้งแต่หัวค่ำแล้ว เสียงเมื่อครู่คือเสียงที่แกรอคอยอยู่หลายชั่วโมง แต่แล้วภาพที่ไม่คาดคิด ก็ทำเอาย่าแจ่มแทบช็อค เมื่อตรงหน้าแกห่างไปเพียง 5-6 ก้าว มีหัวของยายหอมลอยอยู่ ส่วนล่างลงมาถูกสีแดงฉานวูบวาบ ส่องแสงจ้าจนมองไม่เห็นว่าเป็นอะไร กำลังเอาหัวโขกไปที่หน้าต่างบ้านหนึ่ง ครั้งแล้วครั้งเล่า ‘ตึงๆๆๆๆๆ’ ทำกลางความมืดและเงียบสะงัด เสียงไม้ของบานหน้าต่างกระทบกับกลอน ยิ่งดังกังวานจนหลอนเข้าไปในหู ย่าแจ่มกลัวจนน้ำตาเล็กออกมา พยายามหันไปปลุกปู่เฉลิม แต่แกก็ไม่แม้แต่จะขยับเพียงเล็กน้อย หลับสนิทราวกับตาย

ย่าแจ่มได้แต่สะอื้นอย่างสิ้นหวังอยู่ในมุ้ง ดูเหมือนเสียงสะอื้นจะดังพอที่ยายหอมจะได้ยินแล้ว เพราะดวงไฟวูบวาบเริ่มเข้ามาใหล้กับมุ้งย่าแจ่มเข้าไปทีละก้าวๆ ก่อนจะวนไปมาอยู่รอบๆ แสงสีแดงสะท้อนกับมุ้งผ้าฝ้ายสีขาว จนเหมือนกับถูกย้อมไปด้วยเลือด ย่าแจ่มหลับตาพนมมือ ท่องบทสวดเป็นพัลวัน

“มึงงง…เป็นคนปิดหน้าต่างกูเหรออออ~”

สิ้นคำนั้น ราวกับถูกฟ้าฟาด สติของย่าแจ่มดับวูบไปในทันที แกมารู้ตัวอีกทีก็ช่วงสายๆ วันนี้ปู่เฉลิมไม่ได้ออกไปทำงาน ดูเหมือนแกจะเป็นห่วงอาการของย่าแจ่ม ย่าแจ่มก็เล่าเรื่องทุกอย่างให้ปู่เฉลิมฟัง แล้วก็ขอตัวเก็บข้าวของกลับไปอยู่บ้านแม่ตัวเองที่หมู่บ้านข้างๆตามเดิม ไม่รู้ว่าปู่เฉลิมระแคะระคายเรื่องนี้มาก่อนบ้างรึไม่ อย่างไรก็ตาม ปู่เฉลิมก็เลือกที่อยู่ดูแลแม่แก และนั่นก็เป็นจุดจบของความสัมพันธ์ของคนทั้งคู่ ทำให้ต้องเลิกลากันไป ด้วยเรื่องวุ่นๆของวัยรุ่นฟันน้ำนม สุดท้ายคุณนิ่มก็เลยไม่ได้เป็นทายาทคุณยายหอม ถือว่าโชคดีไป เรื่องราวก็มีเพียงเท่านี้

ขอบคุณที่มาเรื่องเล่าผี : theHouse.online

Admin

30/01/2022

คุณไสย…จากน้ำล้างช่องแคบแฟน!

เรื่องนี้เคยเป็นเรื่องรายที่ถูกเล่าในรายการ “เดอะช็อค เรดิโอ” เมื่อนานเกือบ 10 ปีมาแล้ว โดยเจ้าของเรื่องส่งประสบการณ์ของตัวเองมาทางอีเมล์ ในช่วงที่เรียกว่าเดอะช็อค สตอรี่ เรื่องมีอยู่ว่า… เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นกับตัวผมเองเมื่อหลายปีก่อน ตอนที่ผมยังเรียนอยู่ในมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง ผมมีโอกาสได้รู้จักกับสาวนักศึกษาปี 1 หลังจากคุยกันได้ไม่นานเราก็เริ่มคบกัน กระทั่งสานความสัมพันธ์ลึกซึ้ง คืนหนึ่งผมก็ได้ไปนอนค้างที่ห้องของเธอ

คืนนั้นระว่างที่นอนอยู่บนเตียง ผมก็รู้สึกตัวตื่นขึ้นมากลางดึก เพราะได้ยินเสียงกุกกักแถวห้องน้ำ ซึ่งกำแพงอยู่ติดกับเตียงด้านที่ผมนอนอยู่ สักพักผมรู้สึกได้ว่ากำลังถูกสายตาบางคู่จ้องมองมาจากหลังประตูของห้องน้ำ แต่เมื่อผมหันหลังไปดู ใครบางคนที่ว่า…ก็หลบหายเข้าไปในห้องน้ำมืดสนิท ผมยังคงแกล้งทำเป็นนอนต่อ เสียงกุกกักก็เริ่มดังขึ้นอีก คราวนี้รู้สึกได้ว่า…ใครบางคนนั้น ออกมายืนค้ำหัวผมอยู่ข้างเตียงแล้ว ยื่นหน้าออกมาใกล้เรื่อยๆ ราวกับกำลังสำรวจอะไรสักอย่าง

ผมหันขวับกลับมาทันที เห็นเพียงเงาลับหลังไวๆ วิ่งหลบเข้าไปในห้องน้ำ ผมกระโจนออกจากเตียงสุดแรง กะว่าจะไล่ตามไปดูให้เห็นคาหนังคาเขา สิ่งที่ผมเจอในห้องน้ำ…ปรากฎว่าเป็นเด็กตัวคล้ำๆ พยายามจะวิ่งหนีเข้าไปในซอกหลังโถส้วม ผมจับขามันได้แล้ว แต่มันก็ดิ้นจนหลุด แล้วหายลับเข้าไปในโพลงด้านหลัง ทันใดนั้นผมก็สะดุ้งตื่นขึ้นบนเตียง… มันเป็นความฝันหรอกหรือ? แต่…มันก็เป็นความฝันที่สมจริงมาก ผมบอกได้เลยว่าสิ่งที่ผมเห็นในฝัน ถอดแบบออกมาจากห้องที่ผมกำลังนอนอยู่นี่ชัดๆ

ผมสงสัยว่ามีอะไรไม่ชอบมาพากลเบื้องหลังรึเปล่า เลยถามแฟนดู ทีแรกเธอก็เลี่ยงที่จะตอบ แต่พอผมคาดคั้นเข้า เธอก็สารภาพว่า…ในอดีตเธอเคยท้องกับแฟนคนก่อน แต่ในเมื่อยังอยู่ในวัยเรียน และเธอก็ไม่มีปัญญาเลี้ยง เลยตัดสินใจทำแท้งด้วยตัวเอง เรื่องสิธีการขอไม่พูดถึงในที่นี้ จนกระทั่งเธอปวดท้องอย่างรุนแรงเลยไปเข้าส้วม จู่ๆก็มีก้อนเลือดหลุดออกมา ด้วยความตกใจ เธอก็รีบกดชักโครกให้น้ำหมุนวน ชำระบาปที่ติดตัวของเธอออกไป

เธอไม่เคยบอกเรื่องนี้กับผม เธอบอกว่าไม่อยากให้ผมรู้สึกผิดหวัง รู้สึกรังเกียจหรืออยากเลิกคบกับเธอ… บอกตามตรง ทีแรกผมอดตกใจไม่ได้เหมือนกัน แต่พอคิดๆดูแล้วมันก็เป็นเรื่องในอดีต เป็นความผิดพลาดที่ย้อนไปแก้ไขไม่ได้ ผมเลยเลือกที่จะไม่พูดถึงเรื่องนี้อีก หลังจากนั้นเราก็ยังคงคบกันเรื่อยมาอีกระยะหนึ่ง

กระทั่งช่วงหนึ่ง ผมเริ่มสังเกตว่า ตัวเองเจ็บออดๆแอดๆ สามวันดีสี่วันไข้ ไอแค่กๆจนเป็นเรื่องปกติ ไม่สบายบ่อยมาก มากจนแม่ทัก…ว่าตัวก็ใหญ่แต่ทำไมป่วยบ่อย โดยปกติถ้าไม่มีคลาสเรียน ผมก็จะไปอยู่กับแม่ช่วงเย็น เป็นช่วงที่ผมมีอาการเพลียอยู่เสมอ แต่พอกลับไปหาแฟนที่หอช่วงสามทุ่ม อาการต่างๆกลับดีขึ้นตาอย่างไม่น่าเชื่อ ตอนนั้นผมไม่ได้ติดใจสงสัยแต่อย่างใด หากมาคิดดูดีๆในภายหลัง ต้องยอมรับว่านี่คือสัญญาณอันตราย ที่ผมละเลยด้วยความไว้ใจจริงๆ

มีอยู่วันหนึ่ง ผมไปช่วยแม่ขายของที่ตลาดนัดในช่วงเย็น จู่ๆอาการก็กำเริบ คราวนี้มันแตกต่างไปจากทุกที ผมรู้สึกปวดท้องอย่างรุนแรง ราวกับมีใครเอามือบิดสุดแรง ปวดจนแทบทนไม่ไหว แม่ผมเลยนำส่งโรงพยาบาลซึ่งอยู่ไม่ไกลจากตลาดทันที แพทย์เวรลงความเห็นว่า…เป็นอาการของอาหารเป็นพิษ ติดในกระเพาะอาหารอย่างรุนแรง ผมก็นึกสงสัยว่าผมเองก็ไม่ใช่คนซกมกจะหยิบอะไรซี้ซั้วเข้าปาก อาหารส่วนใหญ่ก็ปรุงสุกทั้งนั้น นึกไม่ออกเลยว่าตัวเองไปกินอะไรมาที่ทำให้ถึงกับล้มหมอนนอนเสื่อ

ในระหว่างนั้นเอง ครอบครัวเราก็ได้รับข่าวร้าย ถึงแม้ว่าเราสองคนแม่ลูกจะเตรียมใจเอาไว้แล้วก็ตาม ทางโรงพยาบาลอีกแห่งหนึ่ง ซึ่งคุณพ่อรักษาตัวด้วยโรคเรื้อรังอยู่นั้น โทรมาแจ้งว่าท่านเสียแล้ว ให้มารับร่างไปประกอบพิธีกรรมทางศาสนา ผมเลยบอกแม่ว่าเดี๋ยวผมขอกลับไปเปลี่ยนเป็นชุดดำก่อน ผมปลีกตัวออกมาแล้วตรงไปยังห้องของแฟนเพื่อเปลี่ยนชุด ปรากฎว่าอาการเริ่มแย่ลงอีกแล้ว มันรู้สึกปวดหัวและเพลียจนแทบสิ้นสติ เลยกะว่าขอนอนพักเอาแรงสักชั่วโมง ตื่นมาเข้าห้องน้ำอาบน้ำเตรียมตัวจะไปรับพ่อ อาการก็รุนแรงขึ้นอีกจนผมลุกไม่ไหว เลยล้มตัวลงนอนบนเตียงข้างๆแฟน

กว่าผมจะรู้สึกตัวแล้วตื่นมา ก็ตอนเช้าเสียแล้ว ผมหยิบมือถือมาดู พบว่ามีสายมิสคอลนับร้อยจากแม่ ผมรู้สึกผิดมากๆ มันไม่ควรจะเป็นแบบนี้ ผมจะมัวมานอนอยู่แบบนี้ไม่ได้ แต่ขาผมมันไม่ยอมขยับ สภาพผมตอนนี้ราวกับผีตายซาก ในกระจกสะท้อนใบหน้าซูบซีดจนผมเองยังตกใจ มันเกิดอะไรขึ้นกับผมก็ไม่ทราบ ผมพยายามจะฝืนตัวเองลุกขึ้นอีกครั้ง สุดท้ายก็ล้มลงไปกองที่หน้าประตู ตอนนั้นเองก็มีเสียงที่คุ้นเคยเรียกชื่อผมอยู่หน้าประตู

ผมเปิดออกไปดู ปรากฎว่าเป็นแม่ผมเอง แม่มองผมด้วยสายตาเบิกโพลง สีหน้าแกดูตกใจระคนคลางแคลง ก่อนจะก้มลงไปพยุงผมขึ้นมา

“สภาพแบบนี้…แกโดนของเข้าแล้วล่ะ”

คำพูดของแม่ทำหัวใจผมแทบหลุดออกมาจากอก ‘ทำของ…เหรอ?’ หมายถึงคุณไสยมนต์ดำใช่มั้ย? ผมไม่เคยนึกถึงมุมนี้มาก่อนเลย แล้ว…ถ้าเป็นความจริง ใคร? จะทำใส่ผมล่ะ ทันใดนั้นผมก็หันกลับไปมองหาแฟนในห้อง สิ่งที่เห็นทำเอาใจผมหาย เธอเอาแต่นอนมุดตัวอยู่ใต้ผ้านวมผืนใหญ่ ราวกับจะซ่อนตัวจากผมและแม่ผมยังไงอย่างนั้น

แม่ผมพาขึ้นรถ แล้วตรงไปที่วัด ระหว่างทางก็ด่าผมชุดใหญ่ ผมได้แต่นิ่งเงียบคิดทบทวน มันจะเป็นไปได้เหรอ? คุณไสยเนี่ยนะ มันงมงาย พ.ศ.นี้มันยุคไหนกันแล้ว เรื่องพรรค์นั้นมันจะไปมีจริงได้อย่างไร ไปถึงวัดก็พบหลวงพ่อรูปหนึ่ง ท่านอายุอานามมากโขแล้ว แม่ผมก็สอบถามท่านว่าลูกชายเป็นอะไรมากมั้ย หลวงพ่อท่านมองผมปราดเดียวแล้วก็พูดขึ้นว่า…

“คนบาป…”

ผมก็ได้แต่งง และสงสัยว่าคำพูดของท่านนั้นหมายถึงอะไร? ตัวผมไปทำบาปทำกรรมอะไรไว้…อย่างไร หลวงพ่อท่านแนะนำให้ผมเปลี่ยนชื่อเป็นการแก้เคล็ด แล้วให้น้ำมนต์ปลุกเสกมาอาบจำนวนหนึ่ง ระหว่างทางกลับบ้านเหงื่อผมก็ไหลไม่หยุดราวกับเปิดน้ำก๊อก แม่ผมยืนยันหนักแน่นว่า…ตัวผมต้องไปโดนคุณไสย มนต์ดำมาแน่ๆ แต่ตัวผมนั้น ยังไงก็ไม่มีทางเชื่อ กระทั่งมาถึงบ้าน อาการผมเริ่มทุเลาลงแล้ว คืนนั้นผมก็นอนพักค้างคืนที่บ้าน

คืนนั้นผมฝันประหลาด บ้านของผมจะเป็นลักษณะแบบอาคารพาณิชย์ ในฝันนั้นผมเห็นตัวเอง ยืนอยู่บนชั้น 2 จู่ๆก็มีผู้หญิงแปลกหน้าผมยาวรุงรังเดินขึ้นมา เธอมองผมราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ ก่อนที่เธอจะเดินหายเข้าไปในตู้ ซึ่งมีรองเท้าคู่เก่งของผมเก็บอยู่ จากนั้นไม่นานก็มีผู้ชายในสภาพเนื้อตัวมอมแมม เสื้อผ้าขาดรุ่ยเก่าปอน มองมาทางผมด้วยตาขวาง ก่อนจะเดินตามหายเข้าไปอีก เป็นแบบนี้คนแล้วคนเล่า จนกระทั่งมีเสียงหนึ่งไล่หลังตามมาติดๆ…

“พวกนั้น…มันติดตามมากับเศษดินเศษหินในรองเท้า”

เสียงที่ว่านั่นเป็นของชายร่างใหญ่กำยำ น่าเกรงขาม ตามลำตัวมีรอยสักรวดลายอักขระอยู่ทั้งตัว ในมือหนึ่งมีค้อนเหล็ก ส่วนอีกมือมีสิ่ว ไม่รู้ว่าทำไมเหมือนกัน…แต่จู่ๆผมก็วิ่งเขาไปกอดขาเค้า ราวกับผมรอคอยคนคนนี้มานาน จากนั้นชายนิรนามคนนั้น ก็ยกค้อนกับสิ่วขึ้นมาตอกลงไปบริเวณด้านหลังใต้คอผม เขาตอกดังโป๊กๆๆๆครั้งแล้วครั้งเล่าอย่างสุดแรง ถึงอย่างนั้นผมก็ไม่ได้รู้สึกเจ็บแต่อย่างใด แต่สัมผัสได้ถึงแรงกระแทก

สิ่งที่ชายคนนั้นทิ้งเอาไว้ เป็นรอยสักทรงสี่เหลี่ยมคล้ายกับยันต์เก้ายอด หากแต่ภายในว่างโล่ง ไม่มีอักขระอะไร จากนั้นทิวทัศน์รอบตัวผมก็เปลี่ยนไป กลายเป็นอีกสถานที่หนึ่งคล้ายภายในวัด ด้านหน้าผมมีศาลาไม้หลังใหญ่ ผมขึ้นไปบนนั้นพบพระ 3 รูปกำลังนั่งฉันท์อาหารกันอยู่ ที่นั่น…พระรูปหนึ่งเติมเต็มรอยสักด้านหลังคอให้ผม จนตอนนี้มันมีลักษณะคล้ายยันเก้ายอดที่มีอักขระที่สมบูรณ์แล้ว ผมตื่นมาก็รุ่งเช้าแล้ว เลยเล่าเรื่องนี้ให้แม่ผมฟัง แม่ผมก็มีสีหน้าโล่งใจอย่างเห็นได้ชัด พร้อมกล่าวกับผมว่า “ต่อจากนี้ เราคงพ้นทุกข์พ้นโศกแล้ว”

แม่ผมยังบอกอีกว่า วันนี้จะพาผมไปที่บุรีรัมย์ ที่นั่นมีอาจารย์ท่าหนึ่งที่เชี่ยวชาญเรื่องขจัดไสยเวท จะพาไปเอาสิ่งที่ตกค้างออกให้หมด อ̶า̶จ̶า̶ร̶ย์̶ท̶่า̶น̶ชื̶่อ̶โ̶ก̶ะ̶โ̶จ̶ ̶ซ̶า̶โ̶ต̶ร̶ุ อาจารย์นั้นท่านชื่ออะไรผมบอกไม่ได้ สิ่งที่ท่านทำคือนำปากกามาจิ้มไว้ที่คาง กับฝ่าเท้า แต่ความรู้สึกเจ็บราวกับถูกมีดกรีดเข้าไป ก่อนที่จะมีน้ำบางอย่างสีดำคล้ำกลิ่นเน่าเหม็นไหลออกมา เสร็จสิ้นพิธีกรรมนั้น ปรากฎว่า… อาการปวดหัวปวดท้อง ใจเต้นแรงของผมหายจนเป็นปลิดทิ้งอย่างน่าประหลาด

ในระหว่างที่ญาติๆผมที่ติดตามไปด้วย กำลังสนทนาอยู่กับอาจารย์ท่านนั้นอยู่ ผม…อาจจะด้วยที่ไม่เจอแฟนตั้งแต่วันก่อนนั้น เลยคิดถึงเค้าขึ้นมา จู่ๆก็มีเสียงอาจารย์แกพูดดังแหวกขึ้นมา จนคนอื่นๆเงียบไปหมด

“เค้าทำถึงขนาดนี้ ยังจะคิดถึงมันอีกหรือ?”

ผมสะดุ้งตกใจ ได้แต่มองเลิ่กลั่กราวกับเด็กที่พยายามจะปิดบังความผิด

“เอ็งรู้บ้างรึเปล่า ว่าที่เอ็งโดนนั้น มันคืออะไร…”

“ผมก็ไม่รู้เลยครับว่าเป็นอะไร เรื่องที่ว่าโดนทำของใส่ จะใช่จริงมั้ยก็ไม่รู้”

ผมตอบอาจารย์ไปตามที่คิด แต่หลังจากนั้นผมแทบช็อคกับสิ่งที่ได้ยินจากปากอาจารย์

“สิ่งที่เอ็งโดนมันคือ…คุณไสยจาก น้ำล้างอวัยวะช่วงล่าง!”

“มันเอามาผสมในน้ำ ในกับข้าวกับปลา ให้เอ็งกินวันแล้ววันเล่า ยังไงล่ะ”

แม้ผมจะยืนกรานหนักแน่นมาตลอดว่าไม่เชื่อในเรื่องพวกนี้ แม้กระทั่งไม่กี่วินาทีก่อน แต่คำตอบแสนพิศดารของอาจารย์ มันเป็นราวกับกุญแจดอกสุดท้ายของเรื่องราว ผมนึกย้อนไปในวันนึงที่ผมอยู่กับแฟน ผมชมเธอว่าทำไข่เจียวปูได้เอร็ดอร่อย ราวกับเจ๊ไฝมิชลินสตาร์ เธอก็พูดออกมาคำนึงว่า…

“ไม่อร่อยได้ไงล่ะ ก็ใส่น้ำเงี่_นเราลงไปด้วย 555”

วันนั้นผมก็นึกว่าเธอพูดติดขำ ก่อนจะตอบไปว่า บ้าเหรอ ใครจะไปกินอะไรแบบนั้น ยิ่งกว่านั้น…อาการป่วยที่ผมเป็นจนต้องเข้าโรงหมอเมื่อวันก่อน แพทย์วินิจฉัยมาว่าอาหารเป็นพิษ มีเชื้อในกระเพาะอาหาร คิดถึงตรงนั้นผมก็หน้าซีด รู้สึกพะอืดพะอมจนอยากจะสำรอก

หลังจากนั้น ผมรีบโทรติดต่อหาแฟนทันที ถามเธออย่างตรงไปตรงมาเกี่ยวกับเรื่องที่เกิดขึ้น แต่เธอได้แต่อ้ำอึ้ง เลี่ยงที่จะตอบ ผมบอกกับเธอว่า… ‘รู้บ้างมั้ย ผมเกือบตายเลยนะ’ แต่เธอก็ยังคงปฏิเสธเป็นพัลวัน แล้วยังบอกอีกว่า ต่อให้ทำก็ไม่ทำถึงตายหรอก เธอบอกว่าอย่าเข้าใจเธอผิด เธอรักผมมาก อยากให้กลับมาอยู่ด้วยกันอีก แต่ตัวผมตัดสินใจเลิกติดต่อกับเธออย่างเด็ดขาด

ผ่านไปราวหนึ่งเดือน ผมเริ่มกลับไปเรียนที่มหาวิทยาลัยอีกครั้ง คราวนี้มีเพื่อนในคณะมาเล่าให้ผมฟังว่า ‘กูเจอแฟนเก่ามึงด้วยว่ะ แต่ควงไปกับหนุ่มที่ไหนไม่รู้ ท่าทางจะรักกันมากทีเดียว’

ผมได้แต่คิดในใจว่า… ขอให้ผู้ชายคนนั้นโชคดีมีชัย หากสวรรค์ยังเข้าข้างอยู่บ้าง คงไม่ต้องเจอหนักถึงกับต้องเอาชีวิตไปทิ้ง …

Admin

29/01/2022

นะโม๊ะ~ตัสส๊ะ? เจอผีญี่ปุ่นสวดมนต์ล้อเลียน

เรื่องนี้มีผู้ฟังรายการ “อังคารคลุมโปง” โทรเข้ามาบอกเล่าประสบการณ์สยองต่างแดน สมัยที่เธอไปพักในโรงแรมค่ายทหารอเมริกันในญี่ปุ่น แล้วเจอผีผู้หญิงสองคน จนตกใจโพล่งบทสวดออกมา แต่แทนที่ผีจะกลัว กลับไม่ได้เป็นแบบนั้น

คุณแพทเล่าไว้ว่า… ย้อนกลับไปเมื่อประมาณ 10 ปีที่แล้ว เนื่องจากสามีคุณแพทเป็นทหารอาชีพของกองทัพอเมริกัน ทำให้มีประสบการณ์ต้องเดินทางติดสอยห้อยตามสามี ไปทำงานหรือประจำการในต่างประเทศอยู่บ่อยๆ

แต่ประเทศหนึ่งที่เธอไม่เคยลืมเลย คือที่ฐานทัพทหารอเมริกันในญี่ปุ่น ตอนนั้นเธอกับสามีได้ที่พักเป็นโรงแรมในเขตฐานทัพ ตัวโรงแรมแม้จะดูมีอายุอานามมากโขอยู่ แต่ก็ไม่ได้ทรุดโทรมถึงขนาดไม่น่ามอง อย่างไรก็ตามห้องพักของที่นี่ก็ไม่ได้อยู่อาศัยสบายนัก เนื่องด้วยขนาดห้องที่แคบมากๆ ตามสไตล์ห้องพักในญี่ปุ่น ซึ่งพื้นที่มีราคาแพง

ถึงอย่างนั้น…คุณแพทก็อดกังวัลไม่ได้ ด้วยบรรยากาศที่ดูวังเวงพิกล เธอเล่าว่าเลย์เอาท์ของห้องค่อนข้างแปลก เปิดแระตูเข้าไปจะพบโถงเล็กที่มีโทรทัศน์ และโต๊ะทำงานพร้อมโคมไฟตั้งอยู่ ถัดเข้าไปจะเป็นทางเดินยาวแคบๆไปสู่ห้องนอนด้านใน แต่ระหว่างทางไปสู่ห้องนอนจะต้องผ่านอีก 2 ห้อง ทางด้านซ้ายเป็นห้องอาบน้ำ ส่วนด้านขวาเป็นห้องส้วม ซึ่งดูไปดูมาก็ขนลุกอย่างบอกไม่ถูก ‘นี่มันทางสามแพร่งในห้องชัดๆ ไม่ใช่เหรอ?’

คืนนั้นคุณแพทก็เล่าว่าจู่ๆตนกลัวรู้สึกเพลียอย่างหนัก ราวกับมีใครเอามือมาดึงหนังตาเธอให้ปิดลง อาจจะด้วยการเดินทางระยะไกลมาก็เป็นได้ ในขณะที่สามีเธอนั่งทำงานอยู่ในส่วนโถงหน้าห้อง จนกระทั่งกลางดึก คุณแพทก็ได้ยินเสียงผู้หญิงกระซิบกระซาบ ทั้งๆที่ในห้องมีเพียงเธอกับสามี เธอฟังอยู่ครู่หนึ่งก็พอจับใจความได้ว่า มันเป็นเสียงการสนธนาที่มีอารมณ์แฝงอยู่ของผู้หญิงสองคน แต่คุณแพทไม่เข้าใจความหมาย เพราะพวกเธอเหล่านั้นใช้ภาษาญี่ปุ่น

ถึงตรงนี้คุณแพทเหงื่อแตกพลั่ก ทั้งๆที่อากาศเย็น เธอรู้สึกตัว…นี่ไม่ใช่ความฝัน แต่ทันทีที่เธอพยายามจะลุกขึ้นมานั่ง ปรากฎว่าทำไม่ได้! ราวกับมีมวลสารหนักอึ้งที่มองไม่เห็นในห้อง ฉุดรั้งเธอเอาไว้กับเตียง เธอทำได้เพียงขยับแขนขา แหวกว่ายเบาๆในอากาศ ต่อให้ดิ้นด้วยแรงทั้งหมดที่มี ซ้ำร้ายกว่านั้น เปลือกตาของเธอยังลืมขึ้นได้ยากเย็นเหลือเกิน แต่เธอก็พยายามสอดส่องไปในความมืดสลัว เพื่อมองหาต้นกำเนิดเสียง

มันมาจากทางปลายเตียงของเธอ ไม่ห่างจากเธอมากนัก มีผู้หญิงผมยาวคลุมหน้าคลุมตาจนไม่เห็นใบหน้า 2 คนกำลังนั่งถกเถียงกันอยู่ที่ปลายเตียงคุณแพท ขณะที่ด้านหลังถ้ดออกไปมีชายผิวสีรูปร่างสูงใหญ่ ในชุดทหารอเมริกันยืนเป็นฉากหลังมองการปะทะคารมกันของสองสาวตรงหน้าอย่างเบื่อหน่าย แม้ไม่เข้าใจว่าพวกเธอและเขามีเรื่องอะไรกัน แต่คุณแพทก็รู้สึกว่าภาพที่เห็นตรงหน้า ชวนคิดได้ว่าเป็นเรื่องราวรักสามเศร้า ของสองหญิงกับหนึ่งชายไม่ใช่หรือ

ในระหว่างที่คุณแพทจ้องมองภาพข้างหน้าราวกับจะค้นหาคำตอบ ชายในชุดทหารก็มีปฏิกิริยาบางอย่าง ดูเหมือนเขาเริ่มจะตระหนักได้ว่า…มีคนรับรู้ตัวตนของพวกเขาได้ เลยพูดออกมาเป็นภาษาอังกฤษกับคุณแพทว่า

“อย่าเข้ามายุ่งกับพวกเรา”

สิ้นสุดคำพูดนั้น หญิงในชุดกิโมโนสีขาวล้วนทั้งสอง ก็ค่อยๆหันหน้ามาทางคุณแพท พวกเธอโน้มตัวเข้ามาใกล้เรื่อยๆ คุณพระ! ส่วนที่ควรจะเป็นที่ตั้งของดวงตา คิ้ว จมูก บนใบหน้าของพวกเธอ มันกลับขาวโล้นเลี่ยนว่างเปล่า ผีไร้หน้าสองตนแสยะยิ้มอย่างมีเลศนัย คุณแพทตกใจอย่างหนัก ความรู้สึกตอนนั้นเหมือนคนกำลังจะจมน้ำ ที่มีอะไรก็ต้องคว้ามาเอาตัวรอดไว้ก่อน บทสวดเดียวที่หลุดออกมาจากปากเธอแบบอัตโนมัติคือ… นะโมตัสสะ ภัคคะวะโต

“นะโม๊ะ~ ตัสซ๊ะ??”

“ผักคะวาโต๊ะ…!!”

แทนที่จะช่วยให้อะไรดีขึ้น กลับกลายเป็นว่าสองผีสาว กำลังทวนคำท่องบทสวดมนต์ของคุณแพทอย่าง ‘หน้าตาเฉย’ แต่มาในสำเนียงญี่ปุ่น ในน้ำเสียงบ่งบอกถึงความขบขัน คล้ายกับกำลังล้อเลียนคุณแพทอย่างสนุกสนาน พวกเธอยกแขนที่มีชุดกิโมโนขาวคลุมไว้เกือบถึงข้อมือมาป้องปากสีแดงฉาน พร้อมเสียงหัวเราะคิกคัก มันเป็นบรรยากาศสุดเลวร้ายสำหรับคุณแพท

เธอพยายามจะเปล่งเสียงร้องขอความช่วยเหลือจากสามี แต่เสียงตะโกนด้วยแรงทั้งหมดกับหายลงไปในคอ ไม่มีสักเดซิเบลเล็ดลอดออกมาเลย คุณแพททนดูภาพน่าจนลุกอยู่สักพักจนเริ่มตั้งสติได้ ก็เริ่มตั้งจิตอธิษฐานถึงสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในสากลโลกให้ปกปักคุ้มครองเธอ ต่อมาเธอก็ปล่อยให้ร่างนำใจ กายนำจิต เธอเริ่มแช่งผีทั้งสามตนด้วยอารมณ์โมโหสารพัดสารเพ ออกมาแบบไม่รู้ตัว

“ถ้าพวกแกไม่เลิกหลอกเลิกหลอน ขอให้พวกแกจมปลักอยู่ในก้นบึ้งของวังวนความรัก จนไม่ต้องไปผุดไปเกิด ตราบชั่วฟ้าดินสลาย!!”

สิ้นคำนั้นเสียงหัวเราะก็หยุดลงแทบจะในทันที ผีทั้งสามจางหายไปราวกับหมอกควัน ไม่มีร่องรอยอะไรเหลืออยู่ ในขณะที่คุณแพทก็ผลุบลุกขึ้นมานั่งแบบแทบไม่ต้องใช้เรี่ยวแรง เธอเล่าให้สามีฟัง ว่าทำไมไม่ช่วยเธอ ฉันอุตส่าห์เรียกตั้งนาน แต่คนผู้เป็นสามีตอบว่า…เห็นเพียงเธอกำลังทำท่าราวกับรำไทเก๊ก เลยเข้าใจว่าคงนอนละเมอ

ภายหลังคุณแพทก็ไปสอบถามกับผู้ดูแล รีเซปชั่นของที่นี่ แต่ก็ไม่ได้ความอะไร เนื่องจากที่นี่เป็นที่พักทหาร มีพนักงานหมุนเวียนไปมาตลอด ไม่มีใครที่เคยอยู่มาตั้งแต่สมัยเมื่อก่อน เลยไม่ทราบประวัติความเป็นมา อย่างไรก็ตาม ภาพในคืนนี้นติดตาเธอมาก คุณแพทจำได้แม่นว่าชุดกิโมโนสีขาวโพลนของผีสาว มีลักษณะการใส่แบบ ‘ขวาทับซ้าย’ เมื่อเธอไปค้นข้อมํลเพิ่มเติมก็ได้ทราบว่า ปกติคนเป็นจะสวมกิโมโนในแบบที่ให้ชายเสื้อด้านซ้ายทับด้านขวา ส่วนแบบด้านขวาทับซ้ายนั้น…เค้าเอาไว้ใส่ให้ ‘ศพ’ ในพิธีกรรม เรื่องราวทั้งหมดก็มีเพียงเท่านี้

สุดท้ายก็มีผู้ใช้ยูทูบท่านอื่นมาแสดงความคิดเห็นไว้ว่า “นะโมตัสสะ เป็นบทสวดที่เราระลึกคุณพระรัตนไตย ไม่มีทางที่ผีจะหลัวหรอก จะสวดมนต์ตรงเข้าใจความหมายและจุดประสงค์ ขอแนะนำเป็น ‘บทสวดพาหุงมหากาฬ’ ที่มีเนื้อหาว่าด้วยเหตุการณ์ที่พระพุทธเจ้าปราบเหล่าภูติผีและมารร้าย ซึ่งมีผลทางพุทธคุณมาก แม้ว่าบทสวดจะยาว แต่หากท่องได้ก็เหมือนมีไม้กายสิทธ์เอาไว้ใช้ปราบผี นั่นเอง…

Admin

28/01/2022

แฮร์พีซอาถรรพ์…ผมต่อที่มาจากคนตาย

เรื่องเล่าผีที่ผู้ใช้เฟสบุ๊คท่านหนึ่ง นำมาเล่าไว้ในกลุ่มเรื่องผี เกี่ยวกับประสบการณ์สยองของปิ่น หลานสาวของผู้ใช้เฟสบุ๊คท่านนี้ พบเจอเมื่อครั้งไปซื้อมัดผมมาจากร้านขาย โดยปกติแล้วการต่อผมจากช่อผมแท้ ไม่ใช่เรื่องแปลกแต่อย่างใด การซื้อ-ขายผมแท้ แม้กระทั่งการไว้ผมยาวเพื่อตั้งใจตัดขายก็เป็นเรื่องทั่วไปสำหรับสาวๆ แต่นั่นต้องเกิดจาก “ความยินยอม” ของเจ้าของเดิม แน่นอนว่า…ไม่มีใครนึกอยากจะไป “ตัดผม” จากบนศีรษะของสาวคนใดตามอำเภอใจได้อยู่แล้ว แต่ถ้าหากว่าช่อผมถูกขโมยมาจาก “ศพ” นั่นก็อีกเรื่อง…

ปกติแล้ว… “น้องปิ่น” จะไว้ผมยาวแค่เพียงประบ่า เนื่องด้วยน้องกำลังเรียนอยู่ปี 1 ที่มหาวิทยาลัยในกทม. พร้อมๆกับที่ต้องทำงานส่งเสียตัวเองเรียนไปด้วย เนื่องจากบิดาผู้เคยเป็นเสาหลักครอบครัวมาด่วนจากไปเมื่อไม่กี่ปีก่อน การเลือกที่จะไม่ไว้ผมยาว มันทำให้ปิ่นคล่องตัว กระฉับกระเฉงในการทำอะไรหลายๆอย่างมากกว่า ซ้ำไม่ต้องมานั่งดูแล นั่งรอเป่าผมให้แห้งเป็นครึ่งๆชั่วโมง

งานพาร์ทไทม์ที่ปิ่นทำนั้น เป็นงาน PR แนะนำและขายสินค้าในบู๊ทเล็กๆของห้างสรรพสินค้าหนึ่ง ด้วยความที่ปิ่นมีรูปร่างดี ผิวพรรณขาว หน้าตาน่ารัก พูดจาเก่ง ก็ไม่แปลกที่น้องจะไปด้วยสวยกับอาชีพนี้ จนกระทั่งวันหนึ่งน้องได้รับมอบหมายให้ขายสินค้าตัวใหม่ ซึ่งเป็นบู๊ทผลิตภัณฑ์ดูแลเส้นผม แม้ว่าผมประบ่าดำขลิบเป็นเงาของปิ่นจะดูเหมาะกับเธอแค่ไหน แต่ด้วยตัวงานพรีเซนท์ ถ้าคนขายเข้ากับผลิตภัณฑ์ย่อมทำให้ผู้บริโภครู้สึกคล้อยตามมากกว่า

ไม่ว่าเรื่องนี้จะส่งผลต่อยอดขายจะจริงหรือไม่ ปิ่นก็ได้รับการแนะนำจากผู้จัดการให้ไปต่อผมมาอยู่ดี แม้ไม่ได้เป็นการบังคับก็ตาม แต่ในช่วงเวลาที่เธอไม่พร้อมที่จะเสี่ยงต่อการเสียงาน ปิ่นเลยตบปากรับคำไป ในบ่ายแก่ๆวันหนึ่งที่ไม่มีคาบเรียน ปิ่นไปเดินหาซื้อของในย่านตลาดการค้าของเบ็ดเตล็ด ที่พูดชื่อไปทุกคนโดยเฉพาะแม่ค้ารู้จักเป็นอย่างดี

ในทีแรกเธอไม่ได้ตั้งใจว่าจะมาซื้อทันที จนกระทั่งเดินผ่านร้านขายช่อผมแฮร์พีซเล็กๆ อยู่ร้านหนึ่ง ร้านนี้มีขนาด 1 คูหา แต่มีช่อผมแบบต่างๆ ห้อยแขวนให้เลือกอยู่แน่นร้าน ทั้งผมเทียม ผมแท้ หลากหลายราคา ปิ่นใช้มือแหวกเลือกอยู่สักพัก ก็ไปสะดุดตากับเจ้ามัดผมยาวสีดำขลับ ความยาวประมาณ 30 นิ้ว ปิ่นลองยกขึ้นมาทาบดู คาดว่าเมื่อนำมาต่อแล้ว…คงจะได้ผมยาวเลยกลางหลังเธอพอดี เลยสอบถามกับแม่ค้าเจ้าของร้าน

“น้องตาถึงมากเลยน้าา ตัวนี้ผมแท้มาใหม่เลย พี่ว่าเหมาะกับน้อง”

“เท่าที่ดู เอ่อ…น้องเหมาหมด 6 มัดเลยแล้วกัน ปกติพี่คิด 3000+ แต่… อันนี้พี่คิด 1500 พอ”

ปิ่นไม่ได้เอะใจกับความแห้งผากเล็กๆในน้ำเสียง เว้นแต่ความรู้สึกที่คะยั้นคะยอขายเกินพอดีเล็กน้อย แต่เธอเองก็ชื่อได้ว่าทำงานค้าขาย การหว่านล้อมลูกค้าเป็นเทคนิคพื้นฐานอยู่แล้ว ในที่สุดเธอก็ซื้อมาในราคาที่ถูกกว่าท้องตลาด

หลังเสร็จจากงานพาร์ทไทม์ เธอกลับถึงบ้านราว 3 ทุ่มครึ่ง ปิ่นอาศัยอยู่กับน้าวิภา…คุณแม่ของน้อง คืนนี้เธอก็ทักทายแม่อย่างทุกครั้งที่ทำเมื่อกลับบ้าน ก่อนจะปลีกตัวไปอาบน้ำ ในขณะที่น้าวิภาเองก็รู้ว่าน้องมีภาระทั้งเรื่องเรียน และเรื่องงาน เธอจึงเตรียมกับข้าวกับปลาให้ลูกสาวคนเดียวเสมอ สิ่งที่แปลกไปอย่างเดียวในคืนนี้คือ คำถามของน้าวิภา…

“หนูเป็นเพื่อนปิ่นเหรอลูก… อ้าวๆ เข้ามานั่งข้างในก่อนสิ”

“อยู่กินข้าวเย็นด้วยกันก่อน แม่ทำอาหารไว้เยอะเลย”

ปิ่นนิ่งฟังอยู่ครู่หนึ่ง ก็เอาผ้าขนหนู่นุ่งกระโจมอกแล้วโผล่หน้าออกมาจากห้องน้ำ ทักไปหาน้าวิภาผู้เป็นมารดาของตน

“แม่… เมื่อกี้ แม่คุยกับใคร?”

กระทั่งน้าวิภาก็เล่าให้ปิ่นฟังว่า… เมื่อครู่ตอนจะปิดประตู เธอเห็นหญิงสาวผมสั้น ยืนอยู่แถวหน้าห้อง เข้าใจว่าเป็นเพื่อนลูกสาว เลยชวนเข้ามานั่งในบ้าน แต่ปิ่นยืนยันเสียงแข็งว่าเธอมาคนเดียว! อย่างไรก็ตามน้าวิภาก็ทึกทักไปว่า คงเป็นแขกที่มาเยี่ยมห้องข้างๆ หรือห้องไหนสักห้องแถวนี้กระมัง ตอนนี้เอง…ผู้หญิงคนที่ว่าก็หายไปแล้วด้วย

ระหว่างทานข้าวกันที่โต๊ะกลางห้องโถง ปิ่นก็เล่าเรื่องที่ตนซื้อมัดผมมา น้าวิภาก็ถามว่าซื้อมาทำไม ปิ่นก็ตอบว่าหนูได้งานขายบู๊ทผลิตภัณฑ์ดูแลเส้นผม ที่ทำงานเค้าอยากได้คนผมยาว จากนั้นปิ่นก็เดินถือมัดผมทั้ง 6 มัด ขึ้นทาบกับผมเธอให้น้าวิภาดู ประจวบเหมาะกับที่ด้านหลังโต๊ะทานข้าว มีกระจกบานใหญ่แขวนอยู่ บางสิ่งบางอย่างที่สะท้อนบนนั้น ทำให้น้าวิภาละสายตาชื่นชมลูกสาวไปมองกระจกด้วยสีน้าตกใจแว่บหนึ่ง ก่อนที่จะหันหลังขวับไปมองรอบๆห้อง

“แม่! เป็นอะไร? นี่มันไม่สวยเหรอ?”

“ปะ…เปล่า ไม่มีอะไร ว่าแต่นี่ก็ดึกมากแล้ว เดี๋ยวหนูเองก็รีบเข้านอนเถอะ”

ไม่รู้ว่าน้าวิภาเห็นอะไร ตัวปิ่นเองก็ไม่ได้ติดใจสงสัย หลังจากนั้นสองแม่ลูกก็พากันเข้านอน กระทั่งปิ่นตื่นมากลางดึก นาฬิกาที่หัวเตียงบอกเวลาตี 2 สาเหตุคงมาจากส้มตำปูปลาร้าเผ็ดมากที่เธอทานเมื่อกลางวัน ทำให้เกิดปวดท้องขึ้นมากระทันหัน เลยลุกขึ้นไปเข้าห้องน้ำ

ระหว่างที่เธอทำธุระอยู่นั่นเอง กระจกเหนืออ่างล้างหน้าในห้องน้ำ ได้สะท้อนภาพผิดปกติบางอย่าง มันเป็นกลุ่มเส้นสายสีดำขลับค่อยๆไต่ตามผนังสีครีมดานหลัง ลงมาจากทางบนเพดาน ก่อนที่เธอจะทันได้นึกคิดอะไร เสียงกระซิบแผ่วเบา…แต่ลากยาวแหลม จนกังวาลในหูเธอถึงทุกวันนี้ก็ดังขึ้น

“อยาก~ผม~ยาว~เหรอออ… ทำ~ไม~มึงงง~ ไม่ไว้เองงงง !!”

ปิ่นสะดุ้งโหยง! รีบวิ่งออกจากห้องน้ำแทบไม่ทัน มองซ้ายมองขวาหาต้นเสียง แล้วตรงกลับไปที่ห้องนอนทันที ถึงเตียงก็โผเข้าหาน้าวิภา แต่กว่าจะรู้ตัวว่านั่นไม่ใช่ผู้เป็นมารดาของตน ก็เผลอกอดไปซะแน่น ร่างที่เมื่อครู่นอนตะแคงหันหน้าไปทางตรงข้ามกับปิ่น บัดนี้ค่อยๆบิดช่วงลำคอขึ้นไปหันกลับมาจ้องปิ่นเขม็ง นัยตาเป็นสีแดงกำปูดโปน ราวกับจะกินเลือดกินเนื้อเธอ ก่อนพูดด้วยน้ำเสียงแหบในลำคอว่า…

“เอาผมกู…ไปทำมายยย เอาคืนมาาาาา”

สิ้นคำผีทวงของ หัวของผู้หญิงคนนั้นก็กลิ้งหลุนๆ หลุดออกจากบ่า ตกลงไปข้างเตียง ปิ่นที่เห็นทุกเหตุการณ์ทำได้เพียงแค่แผดเสียง ‘กรี๊ดดดด’ สุดแรง ราวกับลูกแมวที่ถูกปิดประตูตี เธอร้องอยู่สักพักเสียงก็ขาดหายไปในลำคอ บัดนี้ร่างของเธอทิ้งตัวลงตามแรงโน้มถ่วงลงไปกองบนเตียง ในระหว่างที่เธอหมดสติสัมปชัญญะไป เธอก็ฝัน…

ในนิมิต…ปิ่นเห็นภาพบางอย่างที่ไม่เคยเห็นมาก่อน มันเป็นภาพบนถนนแห่งหนึ่ง ขณะที่หญิงสาวในชุดพนักงานออฟฟิศ กำลังข้ามถนนตรงทางม้าลาย แต่จู่ๆก็มีรถจักรยานยนต์จากไหนไม่ทราบ พุ่งเข้ามาชนเธอ ทางมาลายถูกย้อมด้วยสีแดงชาด ผู้หญิงคนนั้นก็สิ้นลมในทันที แล้วภาพก็เลือนหายไป…ปรากฏเป็นอีกภาพหนึ่งขึ้นมาแทน ร่างของผู้หญิงคนนั้นนอนอยู่บนเตียงในห้องที่คล้ายกับโรงพยาบาล ระหว่างนั้นก็มีมือใครบางคนยื่นเข้ามาบรรจงใช้กรรไกรคมกริบตัดผมเงาดำของเธอ ห่อนจะนำลงหย่อนลงไปในถุงพลาสติคซิปล็อค แล้วยื่นให้ผู้หญิงอีกคนหนึ่งรับไป

ในฝันปิ่นรู้สึกตัว กำลังมองภาพที่ฉายเป็นเหตุการณ์ราวกับกำลังชมภาพยนตร์ เธอคิดทบทวนสิ่งที่เห็นเมื่อครู่… หรือว่าช่อผมที่เธอพึ่งได้มาเมื่อช่วงบ่าย จะมีภูมิหลังที่มาที่ไปแบบนี้กันแน่ แต่ยังไม่ทันได้เข้าใจอะไรท่องแท้ จู่ๆร่างไร้วิญญาณของสาวผมยาว ที่บัดนี้ถูกตัดจนสั้นเสมอหู ลุกพรวดขึ้นมานั่งตรงทำมุมฉากกับเตียง พร้อมๆกับยกแขนขึ้นมาชี้นิ้วไปทางปิ่นที่ยืนดูอยู่

“ถูกต้อง! นี่เป็นผมของกู!”

ปิ่นสะดุ้งตื่นขึ้นมาบนเตียง เหงื่อกาฬไหลพลั่กโทรมกาย มองไปข้างๆพบน้าวิภายืนมองด้วยความเป็นห่วงอยู่ข้างๆ น้าวิภานำสร้อยพระมาห้อยคอลูกสาว พร้อมกล่าวกับเธอ

“แม่ว่า…หนูต้องเอาผมไปคืนเค้าแล้วล่ะ เอาไปฟังที่วัดแล้วจุดธูปบอกเค้า”

“ท…ทำไมแม่รู้ล่ะคะ?” ปิ่นถามผู้เป็นมารดาด้วยสีหน้าระคนสงสัย

“ก็เมื่อกี้แม่ตกใจที่เห็นหนูร้องโวยวาย จนนึกว่าละเมอฝันร้าย แม่เลยลุกจะไปหยิบพระเครื่องกับฝ้ายผูกข้อมือมาคล้องให้หนู”

“จังหวะนั้นก็มีเสียงมาเคาะหน้าห้องเรา แม่ส่องออกไปทางบานเกล็ด ก็เจอผู้หญิงที่แม่เล่าให้ฟังเมื่อค่ำนั่นแหละ บอกกับแม่ว่า… ให้หนูเอาผมไปไว้ที่วัด ฝังดินในป่าช้า เค้าไม่ได้อนุญาตให้ใครเอาไป มันเป็นของของเค้า”

“ล…แล้ว แม่ตอบเค้าไปว่ายังไง”

“แม่กำลังจะเอ่ยปากถามต่อ จังหวะนั้นเค้าก็เดินลากขาหายไปจากหน้าประตูซะแล้ว”

สรุปคืนนั้นปิ่นกับแม่ก็ไม่ได้กลับไปนอนที่เตียงอีกเลย กระทั่งรุ่งเช้าก็พากันไปที่วัด บอกพระขอให้ทางวัดช่วยเหลือนำช่อผมดำเงายาว 30 นิ้ว ลงไปฝังดินในป่าช้า แล้วทำบุญถวายสังขทานกรวดน้ำให้หญิงผู้เป็นเจ้าของมัดผมตัวจริง โดยที่สุดท้ายก็ไม่ทราบว่าเธอเป็นใครมาจากไหน แต่ก็ดีแล้ว ที่ปิ่นและน้าวิภาไม่ได้เจอเธออีก ส่วนเรื่องผมยาว ปิ่นเลือกที่จะไปซื้อผมจากคนที่เลี้ยงผมไว้ขาย ตัดกันสดๆต่อหน้าไปเลยดีกว่า… เรื่องราวทั้งหมดก็มีเพียงเท่านี้

ขอบคุณที่มาเรื่องเล่าผี : ผู้ใช้เฟสบุ๊ค หาญ ใจสิงห์

Admin

27/01/2022

ไอ จัส วอนนา เป็น แฟน ผี ได้ บ่ … เรื่องสยองของคนตกหลุมรักผี

มีเรื่องผีเดอะช็อคอยู่ตอนหนึ่ง ซึ่งเคยฟังมานานแล้ว อาจจะไม่แม่นในเรื่องรายละเอียดมากนัก แต่แก่นของเรื่องยังจำได้ดี มันเป็นเรื่องเกี่ยวกับหนุ่มนศ.ปีหนึ่ง ที่ไปพบหญิงสาวสะสวยราวกับนางในฝัน และพยายามที่จะสานสัมพันธ์ทำความรู้จักกัน ก่อนเกิดเรื่องน่าเศร้าแบบไม่ทันตั้งตัว

ย้อนกลับไปเมื่อหลายปีก่อน ตอนที่ผมยังเป็นนักศึกษาด้านดนตรีที่มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง ผมมีโอกาสได้พบกับผู้หญิงที่เห็นครั้งแรกก็ตกหลุมรักโดยบังเอิญ ผมไม่รู้ชื่อเสียงเรียงนาม ค่ำคืนนั้นผมอยู่ซ้อมกีตาร์ไฟฟ้า ซึ่งเป็นเอกที่ผมเรียนอยู่จนดึก ตอนที่ผมกำลังจะกลับก็แวะเข้าห้องน้ำที่ตึกในคณะ ผมสังเกตเห็นว่า…ยังมีห้องซ้อมหนึ่งที่เปิดไฟสว่างอยู่ เสียงจสกเครื่องฟลุ๊ตลอยเอื่อยมาเข้าหูผม คนที่ยืนเป่าฟลุ๊ตอยู่ในห้องนั้นเป็นหญิงสาวในชุดนักศึกษา แม้เธอจะยืนหันหลังอยู่ ผมก็มันใจว่าสวยแน่นอน

หลังยืนเกาะกระจกฟังอยู่ครู่นึง ผมก็เดินไปเข้าห้องน้ำ ตอนนั้นรู้สึกเสียดายอยู่เหมือนกัน เพราะพอออกมาก็พบว่าห้องดังกล่าวปิดไฟมืดสนิท สาวเจ้าก็ไม่อยู่เสียแล้ว ผมเองก็ทำได้แต่บ่นอยู่ในใจ รู้งี้ยืนรอเธออีกแป๊บนึงก็ดีหรอก หลังจากนั้นผมก็กลับไปที่หอ เล่าอวดเรื่องนี้ให้เพื่อนร่วมห้องอีก 2 คนฟัง ผมสาธยายความงดงามของเธอยู่หลายนาที ทั้งรูปลักษณ์ภายนอกและบทเพลงที่เธอบรรเลง แต่เพื่อนผมคนนึงก็ดันสัพยอกมาทีนึงว่า

“สี่ห้าทุ่มแล้วเนี่ยนะ จะมีผู้หญิงที่ไหนไปซ้อมดึกดื่นอยู่ในตึก”

ผมก็ยืนยันเสียงแข็งว่า…เห็นจริงๆ ไม่ได้โม้แต่ประการใด เสียดายที่ไม่ได้ทำความรู้จักกัน กระทั่งวันหนึ่ง ผมกลับจากคลาสเรียนก็ตรงไปที่หอ ไม่รู้ว่าเป็นพรหมลิขิตหรืออย่างไรก็ไม่ทราบ ผมพบเธออีกแล้ว ผมจำเธอได้ เธออยู่ในชุดนักศึกษากระโปรงทรงพีท สะพายกล่องฟลุตสีดำอยู่บนไหล่ คราวนี้แหละผมจะเข้าไปทักเธอล่ะนะ ติดอยู่ตรงที่ว่า ผมอยู่คนละฝั่งของถนน กว่าที่ผมจะข้ามพ้นเธอก็รูดการ์ดเปิดประตูเข้าไปในหอแล้ว ใช่แล้ว ถึงจะคลาดกันอีก แต่อย่างน้อยๆก็รู้แล้วว่าเธออยู่หอเดียวกันกับผม

ที่น่าดีใจไปมากกว่านั้น คือก่อนหน้านี้ผมไม่เคยรู้มาก่อนเลย ว่าถัดจากห้องผมขึ้นไปหนึ่งชั้น มักจะมีเสียงซ้อมฟลุตหลุดลอยมาถึงบ่อยๆ อันที่จริงผมไม่ได้สนใจมันมากกว่า เนื่องจากในหอนี้ก็มีนักศึกษาสายดนตรีอยู่ไม่น้อย อย่าว่าแต่เสียงฟลุตเลย ผมได้ยินมาหมดทุกเครื่องดนตรี จนนึกว่ามีวงออเครสต้าในตึกด้วยซ้ำ อย่างไรก็ตาม หลังจากคืนที่ผมได้เจอเธอ ผมก็จำท่วงทำนองบรรเลงของเธอได้ ห้องของเธออยู่ด้านบนตรงกับห้องของผมนี่เอง

“เพล้งง!!” เย็นวันนึงระหว่างที่ผมซ้อมกีตาร์อยู่ในห้อง จู่ๆก็ได้ยินเสียงคล้ายแก้วแตกดังลงมาจากเพดานห้อง ผมสังหรใจว่าเสียงนี้ดังมาจากห้องเธอ เลยถือโอกาสนี้แหละไปเคาะประตูห้องเธอ “ก๊อกๆๆ ขอโทษนะครับ คุณเป็นอะไรรึเปล่า” ไม่นานนักเธอก็เปิดประตูให้ ต้องบอกว่าได้มาเจอซึ่งๆหน้าผมยิ่งชอบเธอมากขึ้นไปอีก แม้ในวันสบายๆที่ไม่ได้แต่งหน้า ก็ยังคงหน้ามอง เธอบอกว่าเผลอทำโคมไฟล้มจนแตก พอมองเข้าไปก็พบเศษหลอดไฟกระจายเกลื่อน ผมก็เลยอาสาช่วยจัดการให้ พร้อมเป็นธุระเปลี่ยนหลอดไฟให้อีก

จากนั้นก็ได้คุยกันบ้าง ได้ความว่าเธออยู่คนเดียว แม้ผมจะอดสงสัยไม่ได้ว่าของบางชิ้นในห้องเธอดูไม่ใช่รสนิยมของผู้หญิง แต่จู่ๆจะให้ถามคนที่พึ่งคุยกันครั้งแรกว่า “อ้าว ไม่ใช่ว่าอยู่กับแฟนเหรอครับ” คงโดนเกลียดและไล่ตะเพิดแน่ๆ อย่างไรก็ตามผมก็ได้เริ่มสานสัมพันธ์แล้ว แถมยังได้เฟสบุ๊คเธอมาอีกด้วย

หลังจากนั้นผมก็ใจจดใจจ่ออยู่กับโน๊ตบุ๊คที่เปิดเฟสบุ๊คไว้เสมอเวลาอยู่ห้อง เรียกว่าไม่เป็นอันซ้อมดนตรีเลย คืนนึงผมเห็นเธอออนไลน์อยู่เลยทักไปว่า “ยังไม่นอนเหรอครับ” แต่แทนที่เธอจะตอบอะไร กลับส่งอิโมจิรูปหน้าร้องไห้มารัวๆไม่หยุด ผมเองก็ตกใจ เลยตัดสินใจกะว่าไปจะเคาะห้องเธอ ปรากฎว่าห้องก็ปิดไฟมืดสนิท ผมเลยไม่กล้าเคาะด้วยความว่าเกรงใจ แต่ก็อดสงสัยไม่ได้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับเธอกัน

กระทั่งเช้าวันถัดมา ผมตื่นสายนิดหน่อย กว่าจะแต่งตัวออกจากห้องเพื่อนก็ออกมากันก่อนแล้ว ผมสับผัสได้ถึงความวุ่นวายของเสียงผู้คนในหอ มันมีที่มาจากชั้นบนเลยเดินขึ้นไปดู ปรากฎว่ามีคนจำนวนนึง ยืนมุงล้อมหน้าห้องของเธอยู่ ในนั้นมีเพื่อนร่วมห้องของผมรวมอยู่ด้วย เกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่

“เอ่อๆ เถอะน่า เมิงยังไม่ต้องรู้หรอก”

“รีบไปกันดีกว่า เดี๋ยวไม่ทันสอบ”

ตอนนั้นผมก็ไม่ได้คาดคั้นคำตอบจากเพื่อน เนื่องด้วยวันนั้นมีเตรียมสอบ และเราก็เริ่มสายแล้ว จนกระทั่งผ่านไปกว่าอาทิตย์ผมก็ลืมเรื่องนั้นไปสนิท เนื่องจากผมและเพื่อนๆก็ยุ่งอยู่กับการสอบ และไม่ได้เอ่ยปากถามอีก

ค่ำวันนนึง หลังจากสอบกลางภาคเสร็จ พวกเราไปฉลองสอบเสร็จที่ผับแถวม. อย่างไรก็ตาม เป็นผมที่ปลีกตัวออกมาก่อน ผมกลับมานอนเล่นที่หออย่างสบายใจคนเดียว จนนึกถึงเธอขึ้นมาได้ เลยทักเฟสไปคุยกับเธอ อาจด้วยความกล้าที่มาจากก้นขวดเพียวๆ ซึ่งเพื่อนขยั้นขยอให้ผมดื่มเมื่อครึ่งชั่วโมงก่อน ทำให้คราวนี้ผมบอกเธอไปตรงๆ

“เราจีบเธอได้มั้ย? เธอมีแฟนรึเปล่า ขอเบอร์โทรได้มั้ย คบกันได้รึเปล่า บลาๆๆ”

ผมพล่ามอะไรออกไปบ้างก็ไม่แน่ใจ แต่มันคงเป็นความรู้สึกที่ตกค้างในใจมาตลอด ต่อให้ต้องผิดหวังก็ไม่กลัวแล้ว

“เราไม่ให้ได้มั้ย เพราะไม่นาน…เราก็จะไปแล้ว”

“แต่…ไว้เราจะไปหาเธอนะ”

ผมอ่านข้อความของเธอแล้วก็ไม่แน่ใจว่าควรดีใจหรือเสียใจ อาจเพราะความมึนเมาทำให้อ่านแล้วไม่ค่อยเข้าใจ แต่อันที่จริงแล้ว…มาคิดดูภายหลัง ข้อความของเธอในวันนั้นมันก็น่าสงสัยจริงๆ หลังจากนั้นผมก็พล็อยหลับไปบนเตียง คืนนั้นผมก็ฝัน ฝันว่าเธอคนนั้นมาหาที่ห้อง

“มาหาแล้วไง นี่…เห็นบ่นว่าอยากกิน อยู่คนเดียวด้วย คงจะหิวล่ะสิ”

เธอไม่ได้มาตัวเปล่า…แต่มาพร้อมปิ่นโตลายน่ารัก ด้านในมีอาหารสองอย่าง คือ ยำมาม่ากับยำปลากระป๋อง และข้าวสวยวางไว้บนโต๊ะ

“เรา…จะไปแล้วนะ ยินดีที่ได้รู้จัก”

“เธอจะไปไหนเหรอ เดี๋ยวเราไปส่งมั้ย

“ไม่ต้องหรอก มีรถมารับเราแล้ว…”

จากนั้นผมก็สะดุ้งตื่นเพราะเสียงนาฬิกาปลุกที่ตั้งไว้ประจำในตอนเช้า พบว่าเพื่อนอีกสองคนกลับมานอนสิ้นสภาพกันหมดแล้ว แต่สิ่งที่ทำให้ผมแแอบตกใจก็คือ ที่โต๊ะญี่ปุ่นในห้อง มีปิ่นโตบรรจุยำมาม่าและยำปลากระป๋องอยู่ พร้อมโน๊ตกระดาษลายมือผู้หญิง “กินให้หมดนะ” ผมก็ใจฟูขึ้นมาเพราะมั่นใจว่าตัวเองไม่ได้เพียงฝันไปแน่ๆ

ระหว่างที่ผมนั่งโซ้ยอาหารฝีมือคนที่ผมชอบอย่างเอร็ดอร่อย เสียงไซเรนก็ร้องโหยหวนอย่างวังเวง ดังขึ้นมาเรื่อยๆ ก่อนที่จะมาหยุดแถวหน้าหอ ผ่านไปไม่นานก็มีเสียงโหวกเหวกของผู้คนดังมาจากชั้นบนอีกแล้ว เหมือนเช้าวันนั้น…

คราวนี้ผมไม่รอช้าที่จะวิ่งขึ้นไปดู ทันใดนั้นเอง เปลสีขาวซึ่งมีสองคนแบกก็พุ่งตรงมาทางผม แต่สิ่งที่ทำผมแทบช็อคก็คือ คนที่นอนอยู่ตรงนั้น ร่างที่นอนนิ่งไร้ลมหายใจบนเปลคือเธอคนนั้น บนคอเธอมีรอยเชือกช้ำม่วงๆเขียวๆ สิ่งที่ได้รู้ตอนนั้นคือเธอจบชีวิตด้วยการผูกคอในห้อง แล้วมีคนพบเข้า น่าเสียดายว่าไม่ทันการเสียแล้ว

วันนั้นทั้งวันผมนั่งช็อคกับเหตุการณ์อยู่ที่หน้าหอ ทบทวนสิ่งที่เกิดขึ้นและคำถามเต็มไปหมด เธอทำไปเพื่ออะไร? เมื่อคืนยังคุยกันดีๆอยู่แท้ๆ ที่สำคัญกว่านั้นคือ เธอเสียไปตอนไหนกันแน่ เมื่อคืนใช่ความฝันรึเปล่า ใคร…ที่มาหาผมที่ห้อง?

หลังจากเพื่อนร่วมห้องสองคนรู้ข่าว ก็ทำหน้าท่าทางยุกยิกก่อนพูดออกมาว่า…ความจริงแล้วในเช้าวันนั้นก็เคยเกิดเรื่องมาก่อน เธอเคยใช้คัตเตอร์กรีดแขน เพราะความซึมเศร้า เสียใจที่แฟนบอกเลิก โชคยังดีที่มีคนช่วยนำตัวส่งโรงพยาบาลได้ทัน แต่พอกลับมาอยู่คนเดียวในหออีกก็เกิดเรื่องซ้ำรอย อย่างที่โบราณเค้าว่า… อยู่คนเดียวให้ระวังความคิด ภายหลังการสืบสวนพบว่า ในที่เกิดเหตุมีร่องรอยของการทำอาหารที่ดูเหมือนว่า มีส่วนผสมเป็นเครื่องยำ มาม่า และปลากระป๋อง หากแต่เธอไม่ได้เป็นกินมันเข้าไป

จากวันนั้นมาหลายเดือนแล้ว ผมก็ยังคงอยู่ที่หอห้องเดิม ได้ข่าวว่าห้องที่เธอเคยอยู่ก็ปิดปรับปรุงชั่วคราวไปเลย ส่วนตัวผมไม่ได้กลัวเธอ อย่างไรเธอก็เคยเป็นคนที่น่ารักและดีกับผม ผมเองก็ไม่เคยฝันหรือพบเจอเธออีก แต่มันก็มีเหตุการณ์แปลกๆเช่นว่า ภายหลังที่ผมเริ่มสานสัมพันธ์กับสาวคนใหม่ ไม่นานเธอก็ยุติความสัมพันธ์ เธอให้คำตอบผมว่า… มีสายจากเบอร์ผมโทรมาหา แต่เป็นผู้หญิงพูดด้วยน้ำเสียงเยียบเย็นว่า

“อย่าโทรมาอีก… อย่าโทรมาอีก… อย่าโทรมาอีก…”

ตอนเป็นคนเธอให้สถานะแค่คนคุย แตพอเธอตุย…มาหึงหวงกันซะง้านนน เรื่องราวก็มีเพียงเท่านี้

Admin

24/01/2022

คุณยาย…ตายแล้วฟื้น กับผีผัวที่หวงกระท่อม

หมู่นี้ฝนตกหนักมาก หนักจนบางทียืนตากเฉยๆก็ยังรู้สึกเจ็บตัว มันเลยทำให้ผมมีเวลาว่างเว้นจากการกรีดยาง มาเล่าประสบการณ์พิศดารให้ได้ฟังกัน ขอออกตัวก่อนว่า ตัวผมเองก็ไม่ได้มีความรู้ทางวิทยาศาสตร์หรือการแพทย์อะไร ที่จะมาอ้างอิงหรือถกเถียงแต่อย่างใด ถึงอย่างนั้น ต้องยอมรับว่าเรื่องราวอย่างปรากฏการณ์ “ตายแล้วฟื้น” มีให้พบอยู่ทั่วโลก สำหรับคนบ้านนอกแบบผม ถ้ามีใครสักคนที่เคยหยุดหายใจไปครั้งหนึ่งแล้ว นั่นก็เท่ากับว่าตายนั่นแหละ เรื่องนี้เป็นเรื่องของ “ยายพร” คุณยายที่อาศัยอยู่กับหลานสาวข้างบ้านผม

ย้อนกลับไป 10 ปีที่แล้ว ยายพรอายุได้ 65 ขวบปี ก่อนหน้านี้ยายพรเคยอยู่อาศัยกับลูกสาวสองคน เนื่องจากสามีเสียไปนานหลายปีแล้ว จนกระทั่งลูกสาวสองคนเรียนจบมหาวิทยาลัย ก็พากันออกไปทำงานที่อื่น ผมเองก็ชอบแวะเวียนไปเที่ยวเล่นบ้านยายพรบ่อยๆ นั่นเพราะบ้านของแกมี “ต้นกระท่อม” ปลูกอยู่หลังบ้าน ผัวแกที่เสียไปเคยปลูกไว้นานแล้ว ด้วยความที่บ้านติดกัน ยายพรก็ใจดีแบ่งให้ผมฟรีๆ ไม่เคยคิดกะตังค์แม้สักสลึง แต่ถ้าเป็นคนอื่นล่ะก็อย่าได้หวัง เพราะแกขายเป็นจริงเป็นจังน่าดู

ครั้งนึงแกเคยโวให้ที่บ้านผมฟัง ว่าที่ตนส่งเสียลูกสาว 2 คนจนได้ดิบได้ จบมหาวิทยาลัยดัง ก็เพราะต้นท่อมนี่แหละ เวลาที่ราคายางมันตกต่ำ รายได้ขัดสน แกก็ไม่ต้องเอากล้ายางไปปลูกขายบนดาวอังคารเหมือนบ้านอื่นเค้า เพราะมีรายได้เป็นกอบเป็นกำจากใบกระท่อม อันที่จริงก็อย่างที่รู้ๆกัน ณ เวลานั้น มันไม่ได้เปิดเสรีเหมือนวันนี้ แต่ตำรวจที่อาศัยแถวบ้านเค้าก็รู้เห็นนะ แต่ก็ปิดตาข้างหนึ่งมาตลอด ก็นะ…คนท้องถิ่นกับใบกระท่อมมันอยู่คู่กันมานับร้อยๆปี มันก็เหมือนสมุนไพร ไม่ต่างจากปลูกพริก ข่า ตะไคร้ ไว้หลังบ้านนักหรอก

เรื่องพิศดารของยายพร มันพึ่งจะเริ่มขึ้นตรงนี้นี่แหละ ตอนที่หลานสาวแท้ๆ ที่แกรับเลี้ยงให้ลูกสาวที่ไปทำงาน เริ่มโตจะเป็นสาว อายุได้สัก 15 ก็หนีตามหนุ่มข้ามจังหวัด ยายพรแกก็อุตส่าห์ไปตามกลับ แต่เด็กสาวก็หัวรั้น ในโลกของเธอตอนนี้มีแต่ไอหนุ่มที่เธอหลงหัวปักหัวปำ เรื่องนี้ส่งผลกระทบต่อจิตใจของยายพรอย่างมาก เหนื่อยเลี้ยงเหนื่อยดูก็พอแรงแล้ว ยังมาถูกลูกสาวในไส้ก่นด่า หาว่าเลี้ยงหลานยังไง ทำไมปล่อยให้มันมีผัว กลายเป็นว่าตอนนี้ยายพรก็หัวเดียวกระเทียมลีบ อยู่คนเดียวอย่างโดดเดี่ยว

ยายพรเริ่มมีอาการซึม ไม่ค่อยพูดจา หนักเข้าก็ไม่ยอมกินข้าวกินปลา เอาแต่นั่งเหมือนเหม่อลอย สายตาทอดออกไปไกลนอกบ้าน แม่ผมก็เป็นห่วง เลยคอยแวะเวียนไปดูยายแกทุกวัน จนกระทั่งวันหนึ่ง ขณะที่ผมนั่งปลอกมะพร้าวอยู่หลังบ้าน เสียงแม่ผมตะโกนดังมาจากฝั่งบ้านยายพร

“บ่าววววๆ ไอ้บ่าวๆ ยายพรเสียแล้ว”

ผมรีบวิ่งข้ามไปบ้านยายพร สิ่งที่พบคือยายพรนอนนิ่งอยู่บนโซฟาตัวโปรดหน้าโทรทัศน์ ขณะที่มันยังคงฉายรายการประกวดร้องเพลงลูกทุ่งที่แกโปรดปราน ดวงตาของแกหลับสนิท ร่างกายนอนนิ่งไม่ไหวติงในท่าทางปกติ ไม่ได้มีอาการเจ็บปวดแสดงออกมา ดูเผินๆก็ไม่ต่างจากหญิงชรานอนพักกลางวัน แต่พอผมลองเอามือไปอังลมหายใจที่จมูกของแก ผมก็พบความจริงที่น่าเศร้าใจ ยายพรแกไม่หมดลมหายใจไปแล้ว จับที่ตัวก็ยังอุ่นๆ แสดงว่าพึ่งเสียได้ไม่นาน ถึงตอนนั้นผมเลยรีบคว้าโทรศัพท์โทรแจ้งตำรวจ และผู้ใหญ่บ้าน

ตำรวจกับผู้ใหญ่บ้านมาถึงในไม่ช้า พากันตรวจดูร่างของยายพร พบว่าไม่มีร่องรอยถูกทำร้าย แกอาจจะมีโรคอะไรที่ทำให้เสียไปอย่างสงบ และพร้อมส่งศพให้ญาติจัดการทางศาสนาต่อไป ผู้ใหญ่บ้านก็จัดแจงโทรศัพท์ไปแจ้งลูกสาวทั้ง 2 ของแก แน่นอนว่าก็ตกใจกันใหญ่ และบอกว่าจะรีบลางานเพื่อกลับใต้ให้เร็วที่สุด แต่ในระหว่างที่ทุกคนมัวแต่สาละวนอยู่กับเหตุการณ์ตรงหน้า อีกเหตุการณ์หนึ่งที่ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้นมา…

“มาทำอะไรกันเต็มบ้านฉ้าาน”

ผ่านไปมากกว่าครึ่งชั่วโมงแล้ว นับตั้งแต่ที่ผมพบศพยายพร แต่บัดนี้ ดวงตาแกกลับเบิกโพลง แล้วพยุงตัวลุกขึ้นมาช้าๆ พวกผู้หญิงก็พากันกรีดเสียงร้อง พวกผู้ชายก็ได้แต่ยืนอึ้งด้วยความตกใจ ก่อนจะพากันเอ่ยปากถามยายพรแกว่า

“นั่นใครน่ะ ใช่ยายพรรึเปล่า”

ปรากฎว่าแกก็ตอบรับเสียงใส ทำเอาใครต่อใครโล่งอกไปเปลาะหนึ่ง ด้วยกลัวว่าจะมีสัมภเวสีมาชิงสิงร่างยายพรแทน ก่อนที่จะเริ่มเล่าเรื่องราวให้ยายพรฟัง แกก็เถียงว่า “กูตายตอนไหน ก็แค่ดูทีวีแล้วเผลอหลับไป” แต่ตำรวจ แม้กระทั่งผู้ใหญ่บ้านก็ยืนยันเรื่องนี้ ว่าแกไม่หายใจแล้วจริงๆ จะว่าไปร่างแกก็เริ่มเย็นๆแล้วด้วยซ้ำ แกก็เหมือนคิดอะไรได้ แล้วตอบอย่างจำยอม “เมื่อกี้ กูตายไปแล้วจริงๆน่ะ”

แกบอกว่าตอนที่เคลิ้มหลับไปแกก็ฝัน มันเป็นฝันยาวนานและแปลกเอามากๆ แต่ก็จำเรื่องราวต่างๆได้อย่างชัดเจน แกรู้สึกว่าสบายเหมือนนอนบนน้ำ มันเย็นหลัง ตัวเบาหวิง 
พอสักพักแกเห็นว่ามีแสงสีขาวๆเป็นจุดให้แกเห็นมาจากข้างบน  พอถึงมันค่อยๆสว่างแล้วก็กว้างขึ้น  ขนาดประมาณนี้  (แกทำมือน่าจะประมาณลูกบอล)
แล้วแกว่าในฝัน (ตามที่แกเข้าใจ) แกก็เหมือนถูกแสงนั้นดูดขึ้นไปหา แกแสบตาเลยหลับตา  แต่รู้สึกตัวเองวูบวาบไปหมด
สักพักรู้สึกหายแสบตา  แกเลยลืมตา  แล้วแกก็เห็นว่า  ตัวแกอยู่ที่ไหนสักที่  มันคุ้นๆ  แต่นึกไม่ออกว่าที่ไหน 

แล้วตัวแกก็โผล่ไปเห็นตรงนั้นตรงนี้หลายที่เหมือนแกเหาะได้อยู่บนยอดไม้  แล้วทุกๆที่ ที่ไปเห็น  แกก็คุ้นเคยหมดแต่นึกไม่ออกว่าเป็นที่ไหนบ้าง
บางจุดเหมือนแกเคยเห็นตอนเด็กๆ  บางจุดเหมือนแกเคยเห็นตอนสาวๆ  แกว่าบางจุดแกเห็นคนอื่นด้วย  แต่เขาอยู่ข้างล่าง
บางคนมองมาที่ยายพรแล้วตะโกนคุยกัน  ยายพรจำไม่ได้ว่าคุยอะไรกันบ้าง  แต่จำได้ว่าคุย

พอถึงแกลอยไปไหนต่อไหนไม่รู้ เยอะแยะไปหมด  แต่จุดนึงแกลอยไปพบยอดเขา  แกเห็นว่าผัวแก (ที่เสียไปแล้ว) ยืนอยู่ 
ข้างๆผัว มีต้นกระท่อมหลังบ้านขึ้นอยู่  ส่งยิ้มให้ยายพร  ยายพรแกดีใจ  เลยพยายามหาทางลงไปหา  แต่พยายามเท่าไหร่ แกก็ลงไปหาไม่ได้
ผัวแกได้แต่ตะโกนมาบอกประมาณว่า  “เธอลงมาหาช้านไม่ได้หรอก  กรรมเติ้น ไม่เหมือนช้าน ช้านต้องอยู่เฝ้าต้นท่อมนี้และ”
ยายพรว่า  แกก็ไม่ยอมแพ้  จะลงไปหาผัวแกให้ได้  เพราะตายจากมาหลายปีก็ยังคิดถึงกันอยู่  แต่แกว่ายิ่งอยากลงไป  ตัวยิ่งลอยไกลออกมา  จนเห็นกันแค่ลิบๆ  ยายพรก็ร้องไห้เสียใจ  แต่ตัวแกก็ไม่หยุดลอย  ลอยมาจนถึงไหนไม่รู้  มาหยุดที่หน้าศาลาอะไรสักอย่าง
เสาใหญ่โตประมาณต้นยางนาเต็มวัย   ยายพรก็ลอยลงไปยืนตรงหน้าศาลานั้น

ทีนี้แกไม่รู้จะไปทางไหน  เท้าเหยียบโดนพื้น  แต่ก็เหมือนโดนแบบไม่เต็มเท้า รู้สึกสัมผัสถูกแค่เบาๆ ยืนงงๆอยู่  ก็มีผู้ชายเดินออกมาจากหลืบเสา
ยายพรว่าแกก็ตกใจ  เพราะหน้าผู้ชายคนนั้น  หน้าเหมือน เอกชัย  ศรีวิชัย  ที่เป็นขวัญใจยายพรเลย
ยายพรแกบอกแกก็ถามว่า  น้องเอก ไซรมาอยู่ที่นี้  ผู้ชายคนนั้นไม่ตอบเอาแต่ยิ้มให้ แล้วกวักมือเรียกยายพรให้ตามเข้าไป
ยายพรแกก็ดีใจว่าได้เจอเอกชัย  ศรีวิชัย  เลยเดินตามไปง่ายๆ  ยายพรว่าแกพูดอะไรไปเยอะเหมือนกัน  แต่จำไม่ได้ อารามดีใจที่ได้เจอนักร้องขวัญใจ
จนลืมมองไปเลยว่าข้างทางที่เดินตามไปเป็นยังไง  รู้ตัวอีกทีคือทะลุทางออกอีกด้านที่เหมือนกับตอนเข้ามา  ชายคนนั้นก็เดินหายไปด้านข้าง

ทีนี้ตรงนั้นยายพรแกเห็นว่ามีชาย2คน ยืนอยู่คนละด้านของเสายักษ์  คนนึงยิ้มแย้ม หน้าตาดี เหมือนพนักงานต้อนรับบนเครื่องบิน
อีกคนหน้าตาบอกบุญไม่รับเหมือนเจ้าหน้าที่เวลาที่ยายพรไปติดต่อธุระเรื่องเอกสารที่อำเภอ  แต่คนหน้าไม่ยิ้มนั้นตัวใหญ่มาก  ใหญ่กว่าคนยิ้มแย้มไปประมาณเท่านึง  แกว่าแลๆตัวใหญ่เหมือนโยกเยก  (โยกเยก เชิญยิ้ม)  แต่หน้าดุมาก  แต่คนที่ยิ้มแย้มส่งเสียงเรียกยายพรว่า


“มานี่ มานี่ต่ะ  ไม่ต้องกลัว”

ยายพรก็เลยเดินเบี่ยงๆไปหาคนตัวปกติ  ที่ยิ้มแย้ม  แต่แอบชำเลืองมองคนตัวใหญ่  คนตัวใหญ่ก็เหลือบมองยายพรมาสบตาเหมือนกันตาดุมาก
พอยายพรเข้าไปใกล้คนยิ้มแย้ม  แกว่าแกได้กลิ่นหอมเหมือนกลิ่นดอกมะลิกระจายฟุ้ง  มีกลิ่นธูปหอมปนมาอ่อนๆด้วย

คนยิ้มนั้นก้ถามว่า  “พร้อมไปนะ”

ยายพรถาม “ไปไหนอ่า”

คนนั้นบอก “เอ้า  เขาไม่บอกทีเหอ”

“เขาไหน”  “คนที่พาเข้ามาไง”

“คนที่หน้าเหมือนเอกชัย งั้นฮึ ไม่เห็นแหลงไรเลย”

คนนั้นเขาก็นิ่งๆแล้วบอกให้ยายพรยืนรอ  แล้วไม่รู้เขาเดินหายไปเฉยๆ  สักพักเขากลับมา แล้วบอก “ชาดเวรจริง  เติ้นหลบบ้านต่ะ “

ยายพรว่ายายพรพยายามจะถามว่าอะไรยังไง  จะให้ไปไหน  แต่เขาไม่ยอมพูดอีกเลย  เอาแต่เอามือดันยายพร แบบยืนที่เดิม แต่แขนน่ะยาวออกมาเรื่อยๆ
ดันยายพรมาจนถึงอีกด้านเหมือนตอนเข้าไป  ยายพรก็ยังยืนงงๆไม่รู้จะไปไหน  พักนึงคนที่หน้าเหมือนเอกชัย  คนพาเข้าไป  ก็เดินออกมาแล้วบอกว่า
“เอ้า  ไม่หลบบ้านล่ะ”  ยายว่า “หลบทางไหน ไปใช่ถูก”  คนนั้นบอกให้ยายพรหันหลังแล้วโดด  ยายพรก็หันมามอง  เห็นว่าเป็นเหวสูงมากๆ ยายพรก็กลัว
กำลังจะหันไปบอกว่าไม่กล้าโดด  ก็รู้สึกเหมือนโดนผลักไม่ทันตั้งตัว  ก็ลอยละลิ่ว รู้สึกเสียววูบที่ท้องน้อย  รู้ตัวอีกทีคือ ลืมตาตื่นมาแล้วเห็นคนเต็มบ้านนี้และ

คนอื่นๆก็วิเคราะห์กันตามความเชื่อ  ว่ายายพรน่ะคงตายไปแล้วไม่รู้ตัว  วิญญาณหลุดออกจากร่างไปเที่ยวที่ต่างๆตามความทรงจำ  ถึงได้รู้สึกคุ้นๆกับทุกที่ที่เห็น  แล้วที่ไปเห็นผัว  ยืนบนยอดเขา  แล้วมีต้นกระท่อมหลังบ้านอยู่ข้างๆน่ะ  อาจจะเป็นไปได้ว่า  เพราะผัวแกเป็นคนปลูกต้นกระท่อม  ตอนตาย อาจจะเพราะพะวงกับต้นกระท่อม  รู้สึกหวง (แกเป็นคนหวงของมาก)  เลยต้องอยู่เฝ้าต้นกระท่อม  ตามที่ยายพรไปเห็นมา
ส่วนศาลาเสายักษ์  บางคนว่า นั่นอาจจะเป็นทางเข้าไปนรกหรือสวรรค์   ยายพรว่า  แล้วทำไมคนที่มากวักมือเรียก หน้าถึงเหมือนเอกชัย  ศรีวิชัย  เอกชัยไม่ตายที  คนก็ว่า  อาจจะเป็นผู้นำทางเฉยๆ เพราะยายพร ชอบไปดูวงเอกชัย  ศรีวิชัยแสดงมากๆ
เขาก็เลยเนรมิตหน้าตาให้เหมือนคนที่ยายพรชอบ  เพื่อที่ยายพรจะได้เดินตามเขาไปง่ายๆ
(ผมคิดในใจตอนนั้น ฉิหายล่ะ ผมชอบดูผลงานของอาโออิมาก  ถ้าผมตายผมจะเจออาโออิม้ายวะ)

ส่วน2คนที่ยืนเฝ้าเสาอีกด้าน คนหน้าดุๆตัวใหญ่ๆ อาจจะเป็นยมบาล รอพาคนไปนรก  ส่วนคนยิ้มๆนั้นอาจจะเป็นเทวดารอพาคนไปสวรรค์ เพราะยายพรก็ถือว่า  เป็นคนที่เข้าวัดทำบุญ  จิตใจดีคนนึงของหมู่บ้าน  และต้นกระท่อม  ก็คงเป็นแค่ต้นไม้ชนิดนึงไม่ได้เป็นสิ่งบาปเลวในโลกวิญญาณหรอก  การฟื้นกลับมาเล่าเรื่องสิ่งที่แกคิดว่าหลับฝันไป นั้น  แน่นอนครับว่า  ทำให้ทุกคนในหมู่บ้านที่รู้เรื่องมุ่งมั่นมาก

แต่ไม่ใช่การทำบุญ  แต่มุ่งมั่นกับการเอาอายุยายพรไปซื้อหวย  แน่นอนครับว่า ถูกแดรกกันเป็นแถว   ส่วนยายพร พอคิดว่าผัวแกยังยึดติด จนต้องเฝ้าต้นกระท่อมหลังบ้านอยู่  แกก็เลย จ้างคนมาโค่นต้นกระท่อมทิ้ง  แล้วบอกกล่าวผัวแกว่า  ไปที่ชอบที่ชอบเถอะ  อย่ามาเฝ้าเลย
ช้านไม่เอาไว้แล้ว  พวกลูกๆก็หันมาใส่ใจยายพรมากขึ้น  เพราะร้องไห้หนักมากตอนคนโทรไปบอกว่ายายพรสิ้นลม พอยายพรได้รับโอกาสฟื้นกลับมา   ก็เลยดีใจ และเอาใจ ใส่ใจยายพร  เรื่องที่ผมจะมาเล่าสู่กันฟังก็มีเท่านี้แล

ก็อย่างว่าล่ะครับ   ผมก็ไม่เคยตาย  คุณก็ไม่เคยตาย  การที่เราจะรู้ว่าโลกหลังความตายมีจริงไหม  ผมก็ไม่กล้ายืนยัน  
ได้แต่ฟังประสบการณ์จากคนที่ตายแล้วได้กลับมาเล่านี่ล่ะเล่าให้ฟัง  อย่าเชื่อจนกว่าจะได้ลองตายด้วยตัวเองนะครับ  สวัสดีครับ

ขอบคุณที่มาเรื่องเล่าผี : สมาชิกพันทิปหมายเลข 3978178

Admin

23/01/2022
1 2 3 12