เป็นผีหรือเห็นผี? เหตุเกิดในคืนฝนตก
เรื่องนี้เป็นเรื่องที่คุณหนึ่ง เกียร์ 8 ได้รับฟังมาอีกทีหนึ่ง แล้วนำมาถ่ายทอดให้ฟังในหลายรายการ ทั้งเดอะช็อค อังคารคลุมโปง ฯลฯ เกี่ยวกับเหตุการณ์หลอนที่ ‘คุณโจ’ เจ้าของเรื่องตัวจริง พบเจอมาเมื่อราว 7-8 ปีก่อน ครั้งเมื่อเย็นวันหนึ่ง ขณะคุณโจเข้าไปหลบฝนที่ศาลากลางทาง แล้วถูกคน(?)แปลกๆทักขึ้นว่า “ผมเป็นผี” กับตอนจบสุดหักมุม ที่ยากจะคาดเดาชนิดที่ว่าหงายเงิบกันไปเลย
ย้อนกลับไปเมื่อตอนปี 2557 คุณโจเป็นพนักงานบริษัทเอกชนแห่งหนึ่งในกทม. คุณโจได้รับข้อเสนอจากทางบริษัทแม่ที่ตนทำงานอยู่ว่า ทางบริษัทสาขาในต่างจังหวัด มีความต้องการพนักงานเพิ่ม เลยมีโครงการให้พนักงานเดิมที่มีภูมิลำเนาในจังหวัดนั้นๆ ย้ายกลับถิ่นฐานไปทำงานกับสาขาได้ คุณโจเห็นว่าเป็นข้อเสนอที่ดี หนึ่งคือได้เงินเดือนเพิ่มนิดหน่อย สองคือได้กลับบ้านไปอยู่กับพ่อและแม่ที่ต่างจังหวัด
แต่คนที่ดูจะดีใจกับเรื่องนี้ที่สุด เห็นจะเป็น ‘แป้ง’ ลูกพี่ลูกน้องของคุณโจ เธอเป็นลูกสาวอาคุณโจ สาเหตุก็เพราะในทุกๆวัน แป้งต้องขี่มอเตอร์ไซค์จากบ้านเข้าตัวเมืองไปทำงานหลายสิบกิโลเมตร ในขณะที่ข้างทางก็เต็มไปด้วยป่าหญ้ารกชัฏชวนสะพรึง จนคุณโจยังอดถามไม่ได้ว่า ‘แป้งไม่กลัวบ้างเหรอ?’ แต่ลูกพี่ลูกน้องตอบกลับมาว่า…
“แป้งออกจากบ้าน 7 โมงเช้า กลับ 4 โมงเย็น กลางวันแสกๆ จะมีอะไรให้กลัวล่ะพี่?”
อย่างไรก็ตาม การที่ได้คุณโจกลับมาอยู่ในหมู่บ้าน เท่ากับว่าในทุกๆวัน แป้งก็จะติดสอยห้อยตาม ซ้อนมอเตอร์ไซค์ไปทำงานพร้อมกับคุณโจได้ เหตุการณ์ก็เป็นเช่นนี้อยู่ 4-5 เดือน กระทั่งเย็นวันหนึ่งที่ฝนเริ่มตั้งเค้า เมฆดำส่งกลิ่นชื้นลอยมาแต่ไกล คุณโจมองออกไปที่หน้าต่างดูกลุ่มเมฆด้วยสายตาเหงาๆ ตอนนี้ใกล้ 5 โมงเย็นเข้ามาทุกที แต่เขาต้องรอจนกว่าเข็มยาวจะเดินไปทับเลข 12 เพื่อจะได้สแกนนิ้วกลับบ้านได้ แบบที่ไม่มีปัญหาภายหลัง
คุณโจเดินตรงไปที่รถมอเตอร์ไซค์คันเก่ง แป้งมายืนรออยู่พักนึงแล้วร้องทัก
“ไปเร็วพี่ ฝนจะตกแล้วเนี่ย”
คุณโจก็แซวทีเล่นที่จริง ‘อยู่ใต้ฟ้าจะกลัวฝนทำไม’ ทำเป็นไม่เคยโดนฝนไปได้ ถ้าตกหนักอย่างมากก็จอดแวะข้างทาง แต่แป้งชูโทรศัพท์ ‘ไอโฟน’ เครื่องโปรดขึ้นมาเป็นเชิงสัญลักษณ์ว่า เธอหวงโทรศัพท์ต่างหากล่ะ คุณโจก็แอบขำอยู่ในใน ก็เด็กสาวสมัยนี้หวงมือถือยิ่งกว่าอะไร คงจะเพราะพึ่งซื้อมาใหม่กระมัง …แต่หากมาลองคิดดูดีๆในภายหลัง จะพบว่าการที่แป้ง ‘ห่วงโทรศัพท์’ มีเหตุผลลึกลับซ่อนอยู่ คุณโจเลยไขเบาะมอเตอร์ไซค์ก่อนจะเอากระเป๋าสะพายข้างยัดลงไป เขาไม่พูดพร่ำทำเพลงต่อ แล้วออกตัวรถทันที
คุณโจกับแป้งขี่มอเตอร์ไซค์ไปได้ราว 10 กิโลเมตร ก็เจอกับปัญหาที่คาดไว้จริงๆ ฝนตกลงมาหนักขึ้นทุกทีจนไม่สามารถทนฝ่าไปได้ เลยตัดสินใจจอดแวะพักที่ศาลาไม้ริมทาง เนื่องด้วยวันนี้ฟ้าฝนกระหน่ำ ทำให้ 5 โมงเย็นดูมืดไวผิดตา พอรถจอดสนิ แป้งรีบวิ่งดิ่งเข้าศาลาทันที คุณโจตามเข้าไปพร้อมผ้าขนหนูผืนเล็กยื่นให้แป้ง แต่แทนที่เธอจะเช็ดหน้าเช็ดตา กลับเช็ดโทรศัพท์จนแห้งก่อน ระหว่างนั้นฝนยังคงตกอย่างต่อเนื่อง แถมมีฟ้าแลบฟ้าร้องคำรามไปทั่วบริเวณ ในจังหวะที่ฟ้าแลบ ‘แว่บบ’ ความสว่างสไวในชั่วอึดใจ ส่องให้เห็นอะไรบางอย่างที่น่าขนลุก
“อุ๊ยยยยย”
เสียงแป้งร้องตกใจ ก่อนพยักเผยิดหน้าไปด้านหลัง เป็นนัยว่าเธอพบเจอบางอย่างที่ไม่คาดคิดลึกเข้าไปด้านในศาลา คุณโจหันกลับไปมองก็ตกใจเช่นกัน ภายในความมืดสลัวใต้เงาหลังคาของศาลา มีร่างใครบางคนนั่งตะคุ่มอยู่ที่ม้านั่ง ทั้งๆที่ก่อนจะเข้ามาคุณโจไม่สังเกตเห็น ทันใดนั้นเอง ฟ้าแลบขึ้นอีกครั้ง คราวนี้คุณโจเห็นร่างนั้นอย่างชัดเจน เป็นชายเนื้อตัวมอมแมม หัวยุ่งเป็นรังนก ดูราวกับวนิพกพเนจรหรือคนไร้บ้านยังไงยังงั้น แต่สิ่งที่ทำให้ชายคนนั้นดูแปลกแยกกับสิ่งอื่นรอบข้าง คือเสียงครางในลำคอ ‘อืออออ… อืออออ…”
คุณโจรู้สึกใจหวิวๆ ในใจภาวนาอยากให้เป็น ‘ผี’ มากกว่าคนด้วยซ้ำ อย่างน้อยถ้าเป็นผีที่ไม่มีกรรมผูกพันกันก็ต่างคนต่างอยู่ แต่กับคนที่ไม่รู้หัวนอนปลายเท้า ในที่มืดเปลี่ยวเช่นนี้ ชวนให้ไม่น่าไว้ใจอย่างยิ่ง คุณโจอดกลัวไม่ได้เหมือนกัน ว่าถ้าหมอนั่นเกิดลุกตรงเข้ามาหาทั้งคู่ จะทำอย่างไรดี คุณโจเลยพยายามไม่คลาดสายตา คอยเหลือบไปมองอยู่บ่อยๆในระหว่างที่ต้องรอฝนหยุดตกเกือบครึ่งชั่วโมง แต่แล้วสิ่งที่คุณโจไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น ท่ามกลางเสียงฝนกระทบหลังคาดังราวกับลำโพงแตก มันมีเสียงของชายคนนั้นปนเข้ามาด้วย…
“ผม…เป็นผี ผะ…ผมเป็นผี”
อะไรนะ! หมอนั่นมันว่ายังไงนะ แต่พอได้ยินอยู่สองสามรอบ ‘ผมเป็นผี… ผมเป็นผี’ นายคนนั้นยังคงพูดต่อไปซ้ำๆ ในขณะที่นั่งกอดเข่าคู้ตัวสั่นๆ ขนทั่วทั้งตัวของคุณโจพร้อมใจกันลุกแบบไม่ได้นัดหมาย แป้งก็มีอาการกระสับกระส่ายอย่างเห็นได้ชัด กระทั่งฝนเริ่มซาลงแป้งเลยสะกิดบอกคุณโจ ‘พี่ๆ ไปเลยกีกว่า’ เลยตัดสินใจขึ้นควบมอเตอร์ไซค์ฝ่าฝนไปเลย ตอนที่ออกตัวมาได้ไม่กี่สิบเมตร ฟ้าก็แลบขึ้นอีกครั้ง เผยให้เห็นในกระจกมองข้างว่า… ชายผู้ประกาศตนว่า ‘เป็นผี’ กำลังวิ่งไล่ตามมาทางพวกเขา แน่นอนว่าคุณโจบิดอย่างแรง จนหายลับตาไป
กว่าจะมาถึงบ้านก็ 6 โมงกว่าเข้าไปแล้ว ตอนที่เลี้ยวเข้าซอยหมู่บ้าน หมาทั้งซอยที่คุณโจคุ้นเคย แจกข้าวแจกน้ำกันอยู่บ่อยๆ ก็พร้อมใจกันเห่าหอนมาทางพวกเขา จนแอบคิดหวั่นใจว่า ‘หรือมันจะตามเรามาด้วย?’ พอถึงหน้าบ้านของแป้ง แป้งก็ลงไปไขรั้วเลื่อนหน้าบ้านให้คุณโจนำรถเข้าไปจอด จากนั้นต่างคนต่างก็แยกย้ายเข้าบ้าน ซึ่งบ้านคุณโจอยู่เลยไปอีก 2 หลัง พอคุณโจมาถึงหน้าบ้านตน หมาที่เลี้ยงไว้ก็ขู่ฟ่อๆทันที หมาที่เคยน่ารัก ทั้งเชื่องและแสนรู้ วันนี้กลับพลิกหน้ามือเป็นหลังมือ ทันใดนั้นเอง ดูเหมือนคุณแม่คุณโจจะได้ยินเสียงหมาเห่า เลยเปิดหน้าต่างออกมาต้อนรับคุณโจ ด้วยอารมณ์หงุดหงิดระคนร้อนใจ
“ไอโจจจ ไปมัดหัวอยู่ไหนมา ทำไมกลับมามืดค่ำเอาป่านนี้!”
“ฝนมันตกจ่ะแม่ จะให้ขับฝ่ามายังไง”
“แล้วทำไมเอ็งไม่รับโทรศัพท์ ทั้งพ่อทั้งอาโทรตามแกเป็นร้อยๆครั้ง เอ็งไม่รู้เหรอ…ว่าอีแป้งน้องเอ็งโดนรถชนตายเมื่อเย็นนี้!!”
“เห้ยยยยยยย! ว่าไงนะแม่ แม่พูดอะไรเนี่ย”
คุณโจก็ยืนยันเสียงแข็ง ว่าตนขี่รถมากับแป้งจริงๆ ระหว่างทางเจออะไรมาบ้าง กระทั่งจอดส่งน้องที่บ้าน แม่คุณโจก็บอกให้ดูโทรศัพท์ซิ คุณโจหยิบมือถือขึ้นมาเช็ค มีพายุ missing call กระหน่ำเข้ามาจนนับไม่ถ้วนจริงๆ เหงื่อเริ่มออกตามง่ามนิ้วมือของคุณโจ จนมันลื่นซะจนแทบกำโทรศัพท์ไว้ไม่อยู่ คุณโจเดินย้อนกลับไปที่บ้านแป้งก็แทบหยุดหายใจ สิ่งที่พบมันทำให้ความหวังเล็กๆในใจเลือนหายไปในทันที
‘รถมอเตอร์ไซค์ที่คุณโจพึ่งเอาเข้าไปจอดในบ้าน โดยที่แป้งเปิดประตูรั้วให้… บัดนี้มันยังถูกจอดไว้หน้าบ้านนอกรั้ว ในสภาพที่ยังมีกุญแจเสียบคาอยู่ ประตูรั้วเลื่อนก็ปิดสนิทพร้อมกับแม่กุญแจคล้องอยู่’
ราวกับสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อไม่กี่นาทีก่อน ไม่เคยเกิดขึ้น…
คุณโจรีบควบมอเตอร์ไซค์แล้วบิดกลับเข้าตัวจังหวัดอีกครั้ง คราวนี้เขาไม่ได้ไปทำงาน แต่ตรงไปที่โรงพยาบาล ซึ่งร่างของแป้งนอนสงบนิ่งอยู่ที่นั่น เมื่อไปถึงที่นั่นก็พบว่าทั้งพ่อ อา และเพื่อนร่วมงานแป้งอยู่ที่นั่นกันเต็ม พ่อคุณโจเห็นว่ามาช้าเลยสวดเข้าให้ชุดใหญ่ คุณโจเลยเล่าเรื่องที่พบให้ฟัง กลายเป็นว่านาทีนั้นไม่มีใครอยากตำหนิคุณโจแล้ว หลังสอบถามกับเพื่อนของแป้ง ได้ความว่าตอนที่เลิกงานเมื่อ 4 โมงเย็น ขณะเดินข้ามถนน จู่ๆก็มีรถพุ่งมาชนเธอ สภาพร่างเธอดูไม่ดีเอาซะเลย แต่น่าแปลกว่าโทรศัพท์ไอโฟนเครื่องเก่งของเธอนั้นไร้รอยขีดข่วน
เนื่องจากคืนนั้นมืดค่ำแล้ว ทางโรงพยาบาลจึงยังไม่อนุญาตให้นำร่างของแป้งกลับไปประกอบพิธีทางศาสนาได้ทันที คุณโจและพ่อกับอา เลยค้างคืนกันที่โรงแรมในตัวเมือง กระทั่งรุ่งเช้าถึงได้ทำเรื่องดำเนินการนำร่างเธอกลับไป อย่างไรก็ตาม ตามความเชื่อของคนแถบนั้น หากเป็นวิญญาณตายโหงจะไม่นำเข้าบ้าน ร่างของเธอจึงถูกส่งไปที่วัดทันที ส่วนคุณโจขณะกำลังขี่มอเตอร์ไซค์กลับ ก็นึกย้อนถึงเหตุการเมื่อเย็นก่อน สิ่งที่ยังติดในใจคือ…ชายวนิพกที่ศาลาแห่งนั้น คุณโจเลยตรงไปที่นั่น
ชายวนิพกยังคงนั่งอยู่ในศาลาเหมือนคืนวาน หากแต่ครั้งนี้พบกันในสถานการณ์ที่อากาศสดใสยามเช้า อย่างไรก็ตาม ชายคนนั้นมีอาการตั่วสั่นไปด้วยความหวาดกลัวทันทีที่เห็นคุณโจ ‘อือออ… อืออออ…’ ชายคนนั้นคราง คุณโจเดินเข้าไปหาใกล้ๆ จนได้ยินเสียงชายคนนั้นพึมพำอย่างชัดเจน
“ผม…เ ็ น ผี ผะ ผ ม … เ ห็ น ผี”
เนื่องจากจอกันครั้งก่อน เสียงฝนกระหน่ำบวกกับจิตปรุงแต่งของคุณโจ ทำให้คุณโจฟังผิดไปว่าเป็น ‘ผม…เป็นผี’ แต่ประโยคแท้จริงที่ชายคนนั้นสื่อสารคือ ‘ผม…เห็นผี’ !!
เขาหวาดกลัว เพราะเขาเห็น…แป้ง!
คุณโจถึงกับเข่าทรุดนั่งลงกับพื้นศาลาข้างชายที่พึมพำไม่หยุดอยู่ครู่ใหญ่ ก่อนจะจากไปโดยทิ้งแบ็งค์ 100 สองใบไว้ให้ชายคนนั้น ไม่ว่าเขาจะต้องการมันหรือไม่
ในช่วงสวดอภิธรรมงานแป้ง คุณโจฝันเห็นเธอ เขาไม่ได้กลัว แต่ไม่รู้ว่าเธอต้องการจะสื่ออะไรถึงเขา คุณโจคิดไปว่า…แป้งอาจอยากได้ของใช้ส่วนตัวที่เธอหวงแหนอย่าง ‘ไอโฟน’ คุณโจเลยเป็นคนจัดการ นำไปใส่ไว้ในโลงให้ คืนถัดมาคุณโจยังคงฝันเห็นแป้งอีก แต่รอบนี้ดูชัดเจยกว่าครั้งก่อน …