แหวนคนตาย..รูดทองคนรถล้ม ผีมาทวงถึงบ้าน

เรื่องแบบนี้..มันมีจริงๆนะ เคยได้ยินกันมาบ้าง ประมาณว่าพลเมือง(เกือบ)ดีบางคนก็เกิดเปลี่ยนใจเป็นโจรกันแบบชั่วอึดใจ เพราะว่าดันเหลือบไปเห็น สร้อย แหวน นาฬิกา ของมีค่าบนตัวผู้ประสบเหตุเข้า… อย่างไรก็ตาม อะไรที่ไม่ใช่ของของเรา ไม่ควรจะไปหยิบฉวย เพราะว่า…ถึงแม้คนอื่นอาจจะไม่เห็น แต่ผีเห็น…คุณก้อยเล่าเรื่องขนหัวลุกจากแหวนผีสิงเอาไว้ว่า…

“แหวนในที่เกิดเหตุ” รูดแหวนทองจากคนประสบเหตุมา…เขาตามทวงถึงบ้าน

เรื่องนี้เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับคนใกล้ตัวดิฉันเอง บ้านเราจ้างแม่บ้านมาคนหนึ่ง เธอชื่อตาล ตาลเป็นสาวอีสานวัย 25 จากเมือง 101 ด้วยความที่ตาลยังสาวเธอจึงมักอยู่ในชุดแฟชั่นตามสมัย กระทั่งมาทำงานตั้งแต่เช้ามืดก็ยังไม่ลืมที่จะแต่งหน้าเขียนคิ้วมา เรียกว่าหากมีพัสดุมาส่งที่บ้านทีไร พนักงานเป็นต้องเข้าใจผิดว่าน้องตาลเป็นคุณหนูประจำบ้าน ส่วนดิฉันคือสาวใช้ไปเสียทุกที!

อย่างไรก็ตาม ดิฉันไม่เคยคิดเล็กคิดน้อยเลยค่ะ เอาเป็นว่าหากลูกจ้างมีพฤติกรรมอยู่ในลู่ในทาง ไว้ใจได้ สื่อสัตย์ และปฏิบัติตามหน้าที่อย่างไม่ตกบกพร่องเป็นใช้ได้ แม้ภายนอกเราจะแตกต่างกัน อีกทั้งอายุก็ห่างกันราว 20 ปีได้! แต่มีอยู่อย่างที่เราเหมือนกันและคุยกันถูกคอคือ เราชอบเรื่องเล่าผี

วันหนึ่ง หลังจากสามีออกไปส่งลูกๆที่โรงเรียน ก่อนที่จะตรงไปที่ทำงานต่อ ดิฉันใช้เวลาช่วงเช้าของวันนั้นจัดแจงชั้นหนังสือ โดยที่มีตาลเป็นผู้ช่วย ระหว่างนั้นเธอก็เล่าเรื่องผีชวนขนลุกให้ฟังไปพลาง เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ตาลเคลมว่าใกล้ตัวเธอมาก เพราะตัวละครเอกคือน้องชายของเธอเอง

ความน่ากลัวคือเรื่องที่ว่านี้เกิดขึ้นสดๆร้อนๆ เพียงเดือนเดียวที่ผ่านมา ‘ตี๋’ น้องชายในวัยสิบแปดของตาล ขับมอเตอร์ไซค์คันเก่งของตัวเองเพื่อกลับบ้าน เส้นทางที่ว่านี้ค่อนข้างเปลี่ยว และเป็นทางที่แยกมาจากถนนใหญ่ซึ่งก็ไม่ค่อยมีใครผ่านไปมามากนัก วันนั้นก็เช่นกัน ถนนร้างผู้คน แต่ตี๋ก็ไปพบมอเตอร์ไซค์คันหนึ่งล้มคว่ำอยู่ข้างทาง

ตี๋สังเกตเห็นรอยยางถูกเบิร์นจากการเบรคกระชั้นชิดเป็นรอยยาวอย่างชัดเจน สงสัยว่าจะถูกชนแล้วหนีกระมัง เพราะตี๋ไม่เห็นร่องรอยของรถคันอื่นที่เป็นคู่กรณี จึงจอดรถแล้วเข้าไปดูสถานการณ์ ก็พบว่าเจ้าของรถที่ล้มอยู่เป็นหญิงสาวร่างบาง แต่งตัวคล้ายตาล บางทีคงอายุรุ่นราวคราวเดียวกัน อย่างไรก็ตาม สิ่งที่น่าเป็นห่วงคือของเหลวหนืดสีแดงชาดที่เริ่มจะแข็งตัวเปื้อนเต็มผมและศีรษะของเธอคนนั้น ในขณะที่บางส่วนก็ยังคงไหลพลั่กๆออกมาตามจมูกและปาก เหมือนเธอยังคงรู้สึกตัว จึงส่งสายตาวิงวอนขอความช่วยเหลือมาทางตี๋ มนุษย์คนเดียวบนถนนเส้นนั้น

ระหว่างที่ตี๋เลิ่กลั่กกับสถานการณ์ที่เกิดขั้นตรงหน้า ยังไม่ทันได้คิดหรือทำอะไร สายตาเมื่อครู่ก็เหลือกคว้างขึ้นบน จนเห็นแต่ตาขาว! เธอเริ่มเกร็งและกระตุกอย่างรุนแรงอยู่ไม่นานก็นิ่งไป ไม่ไหวติงใดๆ ยิ่งทำให้ตี๋แทบสติแตก เนื่องด้วยในชีวิตนี้ไม่เคยเห็นใครเสียต่อหน้าต่อตามาก่อน แถมยังมาเกิดขึ้นในระยประชิด…บนถนนเส้นเปลี่ยวและโดดเดี่ยว ทีแรกตี๋ก็กะจะรีบกลับไปที่มอเตอร์ไซค์ของตน แล้วรีบไปตามคนหรือแจ้งเจ้าหน้าที่ท้องถิ่นให้ทราบ

แต่ตาของตี๋ก็ดันไปเหลือบเห็นแหวนทองคำวงเล็ก สีเหลืองสุกสะกาวเป็นประกายวิบวับยามต้องแสงอาทิตย์ บนนิ้วมือที่ขณะนี้หงิกเกร็งแข็งทื่อของผู้ประสบเหตุ

ความโลภที่เป็นความอ่อนแอของมนุษย์ทำให้คิดว่า ถ้าทิ้งไว้คนอื่นก็ต้องมาเอาไปแน่ๆ อย่ากระนั้นเลย นึกเสียว่าเป็นค่าป่วยการที่จะต้องไปแจ้งตำรวจ หรือผู้ใหญ่บ้านให้มาช่วยจัดการละกัน คิดได้อย่างนั้น ตี๋ก็รูดแหวนจากนิ้วศพ… มันก็แค่สองสลึงละมั้ง? แต่เบาะๆ ก็ขายได้หมื่นบาท! แค่นี้ไม่บาปหรอก ไม่ได้ขโมยนี่…เจ้าของก็หมดลมไปแล้วนี่นา!

คืนนั้นหมาหอนค่ะ…ตี๋อยู่กับแม่, ยายและพี่สาวอีกคนชื่อแตง ทุกคนไม่รู้หรอกว่าตี๋ได้อะไรมา ดังนั้นพวกเขาจึงไม่รู้สึกรู้สาอะไร

ทันใดนั้นยายก็เขม้นมองไปที่ประตูรั้วแล้วร้องว่าเดี๋ยวนะ! ตี๋มองตามก็ไม่เห็นใคร หมายังหอนโหยหวน ตี๋หนาวเยือก แหวนคนตายยังอยู่ในกระเป๋าเสื้อ…สักพักยายก็เรียกตี๋ให้ไปหา

“ใครน่ะยาย?” ตี๋ร้องถาม ใจสั่นคล้ายจะเป็นลม ยายเดินกลับมา…พลางพูดคุยกับอากาศว่างเปล่าข้างๆ กาย

“คุณคนนี้เขาว่าจะเอาของอะไรที่แก…อะไรนะ? แหวนเหรอ!”

ตี๋ล้มตึง หน้ามืดวูบ…พอรู้ตัวอีกทีก็ค่อยๆ ลืมตา ภาพเบื้องหน้าพร่าพราย หมุนวน มองหน้ายาย หน้าแม่ หน้าพี่แตง…และหน้าซีดขาวของผู้หญิงผมยาวที่ไม่มีตาดำ…

ตี๋แผดร้องสุดเสียง สิ้นสติไปอีกครั้ง!

เช้ามืด น้องชายตัวแสบของตาลฟื้น แต่จับไข้สูง แถมมองเห็นแต่ผู้หญิงผมยาวเนื้อตัวเปื้อนมอมแมมมาเดินวนเวียนอยู่รอบๆ เตียง…เดี๋ยวหายไป เดี๋ยวก็โผล่มา

ตี๋แทบสติแตก ทนไม่ไหวอีกแล้ว…ร้องไห้สารภาพว่ารูดแหวนมาจากนิ้วคนรถล้ม โถ! น้องชายนิสัยดีเชื่อฟังพี่สาว แต่ตอนนั้นมันคิดอะไรก็ไม่รู้ ถึงได้ลงมือทำเรื่องน่าละอายขนาดนั้นไปได้ลงคอ

ยายกับแม่จุดธูปขอขมา บอกกล่าววิญญาณของสาวตายโหง สัญญาว่าจะนำแหวนไปคืนให้ถึงบ้านเลย!

คราวนี้ลำบากละซิ ต้องสืบถาม ได้ความว่าเธอเป็นคนโพนทองยังเป็นนักศึกษาเข้ามหาวิทยาลัยที่กรุงเทพฯ แล้วกลับมาเยี่ยมบ้าน ถึงคราวชะตาขาด โดนรถชนดับข้างถนนสายเปลี่ยว

แม่, ยาย, แตงและน้องตี๋ต้องถ่อไปถึงงานฌาปนกิจของสาวคนนั้น เอาแหวนไปคืนและขอโทษขอโพยญาติๆ จนเรียบร้อย โล่งอกโล่งใจไปตามๆกัน

ตาลสรุปท้ายว่าสมน้ำหน้าไอ้ตี๋มันจริงๆ แต่โชคดีของมันที่ผีมาทวงของคืน มันจะได้เข็ด…ไม่งั้นต่อไปคงต้องสะสมนิสัยไม่ดีจนกู่ไม่กลับแน่นอน

แล้วตาลก็แถมท้ายว่า…ผีดุขนาดหวงแหวนวงเดียว เธอคงจะติดตามไปทวงชีวิตจากเจ้าคนที่ชนเธอแล้วหนีแน่ๆ เพราะไม่มีอะไรที่คนเราจะหวงแหน…มากไปกว่าชีวิตของตัวเอง จริงไหมคะ?

ขอบคุณที่มา : ข่าวสด ออนไลน์

อ่านเรื่องผีน่ากลัว เรื่องอื่นๆ >> กดที่นี่

กลับสู่หน้าแรก สยองสแควร์

Admin

07/04/2020

วัยรุ่นมือบอน..หักตุ๊กตานางรำในศาลร้างเล่นจนมีอันเป็นไป

เรื่องนี้ย้อนกลับไปหลายปีที่ผ่าน เรื่องของความคึกคะนองและรู้เท่าไม่ถึงการณ์ ในสมัยที่ ‘คุณเค’ อายุ 17-18 ปี ในหมู่บ้านมีคนอายุรุ่นราวคราวเดียวอยู่ไม่เยอะนัก ตอนนั้นคุณเคมีเพื่อนร่วมแก๊งกันอยู่ 4 คนคือ ท็อป ซึ่งอายุเท่ากับคุณเค ท็อปเป็นเหมือนลูกไล่ในกลุ่ม มักจะเป็นคนที่โดนแกล้งโดนแซวอยู่เสมอ พี่โจ้ มีนิสัยห่ามๆ มีความเป็นผู้ใหญ่มักเป็นผู้ออกตัวห้ามปรามน้องๆ พี่อาร์ม มีนิสัยห้าวเป้ง ปากเร็วมือเร็ว หลายครั้งทำอะไรด้วยไม่ทันยั้งคิด มักจะเป็นผู้ที่หาเรื่องใส่ตัวอยู่บ่อยๆ ทั้ง 4 คนมักไปในมาไหนด้วยกัน

อ่านเรื่องผี มือบอน” โดยคุณเค

ในวันนั้น ที่หมู่บ้านมีงาน ‘ปอยหลวง’ เป็นงานวัดอย่างหนึ่งที่จัดขึ้นเพื่อเฉลิมฉลองครั้งเมื่อมีการสร้างกุฏิ ศาลา หรืออะไรใหม่ ชาวหมู่บ้านก็จะมีแห่นำเงินสมทบเข้าวัด นานๆทีก็จะมีสักครั้ง ตอนเย็นหลังเลิกเรียน คุณเคและพวกจึงคื่นเต้นอยู่ไม่น้อย ที่โต๊ะหินอ่อนหน้าบ้านคุณเค พี่โจ้และอาร์มออกปากบอกว่า ‘อยากชวนไปงานวัด’ เพราะนอกจากชาวหมู่บ้านแล้ว ยังมีคนต่างถิ่นมาร่วมด้วย หนุ่มๆทั้งหลายจึงหวังได้เจอสาวๆนั่นเอง

ตอนนั้นเวลากว่า 3 ทุ่มแล้ว กว่าทั้งคณะจะตัดสินใจเดินทาง จากบ้านคุณเคไปวัดไม่ได้ไกลนัก แค่ราว 1 ก.ม.เท่านั้น แต่ด้วยความที่เป็นเทศกาลฉลอง 2 ข้างท้างที่มีบ้านเรือนขนาบ ก็เต็มไปด้วยความครึกครื้น ทั้ง 4 ก็เทียวเดินเทียวแวะไปเรื่อยๆ ซ้ำยังเริ่มเมาพอกรึ่มๆแล้วด้วย กว่าจะมาถึงจุดหมายก็ล่วงเลยเข้าหลังเที่ยงคืนไปแล้ว ทั้ง 4 เลยปรึกษากันว่ากลับกันดีกว่า ดึกมากแล้ว ขากลับนั้นบรรยากาศครึกครื้นไม่มีเหลือแล้ว ทั้งเงียบและร้างผู้คน จนดูน่ากลัวไม่น้อย ระหว่างทางกลับ พี่อาร์มทักขึ้นมาว่า ‘ปวดชิ้งฉ่อง ขอไปฉี่ก่อน’ ตรงนั้น 2 ข้างเป็นป่าลำไย ทั้ง 4 ก็มุดหายเข้าไปปลดทุกข์ด้านในเงาไม้ คุณเคกลับออกมากก็เห็นพี่โจ้ยืนรออยู่แล้ว ตามมาด้วยไอ้ท็อป พี่อาร์มหายไปอยู่นานก็ออกมา… ด้วยใบหน้ายิ้มอย่างมีเลศนัย อีก 3 คนสังเกตเห็นบางอย่างในมืออาร์มแล้ว

“เห้ย ไอ้อาร์ม เอาอะไรมาเล่นอีกละ” พี่โจ้ถาม

แต่อาร์มนอกจากจะไม่ตอบ ยังโยนบางอย่างนั้นส่งให้ท็อป ด้วยสัญชาตญาณ ท็อปเผลอยกมือขึ้นรับโดยไม่รู้ตัวกระทั่งแบมือออกดูก็ต้องตกใจร้องสุดขีดไม่เป็นภาษา … มันคือ หัวของหุ่นตุ๊กตา หัวหนึ่งดูคล้ายนางรำ อีกหัวหนึ่งดูคล้ายเป็นชายชราจากศาลตา-ยาย

“ไอ้อาร์ม เมิงทำอะไรเนี่ยยย มันใช่เรื่องเล่นมั้ย!”

“พี่..แล้วทำไม มันถึงมีแค่หัวล่ะ”

พี่อาร์มไม่ตอบคำถามของพี่โจ้ แต่ตอบคำถามของท็อปด้วยการล้วงบางอย่างออกมาจากกระเป๋ากางเกง เป็นส่วนลำตัวที่หายไปของหุ่นปูนปั้นนั่นเอง …แสดงว่าเดิมทีมันคงอยู่ในสภาพสมบูรณ์ จนพี่อาร์มไปหักเล่นด้วยความมือบอน จากการสอบถามพี่อาร์มไปเจออยู่ในศาลที่ตนไปยืนฉี่ใส่ไว้เมื่อครู่นี้เอง

“เมิงเอาไปคืนที่เดิมเดี๋ยวนี้เลยนะ”

“เออ กรุรู้แล้ว ทำปอดแหกกันไปได้”

หลังหายเข้าไปในป่าสักครู่ พี่อาร์มก็ออกมา และด้วยสังเกตเห็นสีหน้าท็อปดูโกรธเคือง จึงเดินเข้าไปกอดคอหยอกเย้า คล้ายจะบอกว่า ‘โธ่เอ้ย ไม่มีอะไรหรอกน่า’

จนเช้าวันถัดมา คุณเคนัดจะออกไปเที่ยวเล่นกัน ทั้งท็อปและพี่โจ้ก็มารวมตัวกัน เว้นก็แต่พี่อาร์มที่โทรไปแล้วไม่ติด จึงตามไปดูกันที่บ้าน ที่บ้านพี่อาร์มเจอคุณแม่จึงสอบถาม คุณแม่บอกว่า ‘อาร์มมันไม่สบาย เข้าไปดูมันมั้ย’ ด้วยความสนิทสนมกันจึงเดินเข้าไปในห้องทันที ภายในห้องกว้างราว 3×3 ม. ด้านซ้ายจะเป็นตู้เสื้อผ้า ด้านขวาจะเป็นเตียง แต่กลับไปเห็นใครนอนอยู่บนเตียงอย่างที่คิดว่าควรจะเป็น สักพักจึงรู้สึกตัวว่า มีใครบางคนนั่งแอบอยู่ตรงมุมซอกหลืบข้างตู้ พี่อาร์มนั่นเอง กำลังนั่งกอดเข่าตัวสั่นงันงก

“พี่ พี่ไม่สบายเหรอ เป็นอะไรอ่ะ”

“มันไม่ได้มีที่กรุ… มันไม่ได้มที่กรุ… มันไม่ได้มีที่กรุ…”

ทั้ง 3 มองหน้ากันด้วยไม่เข้าใจความหมาย และจนแล้วจนรอดก็คุยกันไม่รู้เรื่อง จึงลากลับแล้วให้พี่อาร์มอยู่พักผ่อน

ถัดไป 2 วัน แม่พี่อาร์มก็มาตามที่บ้านคุณเค

“แม่ถามจริงๆเถอะ ไปเล่นอะไรกันมารึเปล่า อาร์มมันดูแปลกๆไป ไปดูมันหน่อยเถอะ”

คุณเคนึกไม่ออก และพยายามปฏิเสธว่า ‘ไม่ได้ไปเล่นอะไรแผลงๆมานะครับ’ แต่กระนั้นก็ตามไปดู ทันทีที่ไปถึง ก็เห็นพี่อาร์มนั่งหลุบอยู่ในท่าเดิม หากแต่พูดบางอย่างที่ต่างออกไป

“ป่ะทิง… ป่ะทิง… ป่ะทิงโท่ง..ทิง” “ป่ะทิง… ป่ะทิง… ป่ะทิงโท่ง..ทิง”

พี่อาร์มพูดด้วยเสียงแผ่วเบา แต่ฟังดูรู้ว่าเป็นจังหวะ คุณเคคิดว่าฟังดูคล้ายเสียงตะโพน เวลาที่นางรำฟ้อนรำ ถึงตอนนั้นเรารู้กันแล้วว่า ‘คงไม่ใช่ป่วยธรรมดา’

คุณแม่ยังพยายามถามว่า ตกลงไปทำอะไรกันมา เล่าให้แม่ฟังหน่อยได้มั้ย พวกคุณเคจึงตัดสินใจเล่าเรื่องคืนวันงานปอยหลวง คุณแม่ได้ฟังก็บอกว่า ‘เดี๋ยวแม่รอดูอาการมันสักวันสองวันก่อน’ แต่ถัดไปแค่วันเดียวก็มีเสียงโทรศัพท์มาตามคุณเค

“เคกับโจ้ มาที่บ้านแม่หน่อยได้มั้ย ช่วยแม่พาอาร์มไปวัดหน่อย”

‘ทำไมต้องไปวัด อาร์มมันป่วยไม่ใช่เหรอ?’ คุณเคกับพี่โจ้อดสงสัยไม่ได้ด้วยความที่ทั้งคู่บ้านติดกัน จึงออกไปบ้านพี่อาร์มพร้อมกัน ทันทีที่เปิดห้องเข้าไปก็เข้าใจความหมาย… จากเดิมที่เคยนั่งหลบตรงมุมห้อง บัดนี้ ‘พี่อาร์ม’ ขึ้นมายืนตัวเกร็งบนเตียง พร้อมเหยียดแขนยกขึ้น ‘ตั้งวง’ แบบนางรำ แล้วราวกับนักแสดงที่รอครบองค์ประชุม จู่ๆพี่อาร์มก็ทำเสียง “ป่ะทิง… ป่ะทิง… ป่ะทิงโท่ง..ทิง” พร้อมกับเริ่มฟ้อนรำ!

“ป่ะทิง… ป่ะทิง… ป่ะทิงโท่ง..ทิง” “มันไม่ได้อยู่ที่กรุ…มันไม่ได้อยู่ที่กรุ”

คุณเคและพี่โจ้เข้าใจสถานการณ์แล้วว่า ไม่อยู่ในจุดที่ทั้งคู่จะพูดคุยหรือช่วยอะไรได้ พี่โจ้จึงรวบตัวลงมา นำตัวใส่รถกระบะพาไปวัด ตอนนั้นตก 5 ทุ่มแล้ว พระก็เข้าจำวัดกันหมด จึงวุ่นวายกันพอควร ประกอบกับพี่อาร์มยังโวยวายและคลั่งขึ้นมา ‘มันไม่ได้อยู่ที่กรุ…มันไม่ได้อยู่ที่กรุ’ หลังเล่าเรื่องราวให้พระท่านฟัง ท่านบอกว่า

“ไม่ดีเลยนะโยม ยังไงคงต้องไปขอขมาเค้า ระหว่างนั้นให้โยมอาร์มอยู่วัด 7 วันก่อน ระหว่างนี้ห้ามไปไหนเลย”

หลังจากนั้นพี่อาร์มเริ่มสงบลง จนผ่านไปกว่า 30 นาที ท็อปจึงขี่มอเตอร์ไซค์ตามมา เนื่องจากท็อปมีภาระต้องดูแลยายที่ไม่ค่อยแข็งแรงนัก คุณเคจึงแจ้งไปทีหลัง ทันทีที่มาถึงท็อปก็ดูหัวเสีย

“กรุบอกไปแล้วใช่มั้ย ว่าอย่าไปเล่นซี้ซั๊ว มันใช่เรื่องเล่นมั้ย ดูสิ” ท็อปบ่นกระปอดกระแปด

“แล้วนี่กระเป๋ากรุหายไปไหนไม่รู้ ใบที่กรุห้อยคอไปเที่ยววันนั้น หาอยู่ตั้งนาน”

สักพักเสร็จเรื่องต่างคนก็แยกย้ายกันกลับ โดยไม่ได้นึกสนใจคำพูดที่ดูไม่สำคัญของท็อปเลย จนวันนึงก็ได้ไปบ้านท็อปกัน บ้านท็อปเป็นบ้านไม้หลังเก่าที่แต่เดิมเป็นบ้านคุณตาคุณยายของท็อป แต่คุณตาเสียไปแล้ว ตอนนี้จึงเหลือแต่ท็อปและคุณยายอาศัยอยู่ เนื่องด้วยคุณยายไม่ค่อยแข็งแรงและอายุมากแล้ว น่าจะประมาณ 85-86 ปี พวกคุณเคจึงมักมาช่วยท็อปดูแลคุณยายตามสมควรอยู่เสมอ คืนนั้นคุณเคก็ไปนอนบ้านท็อปเช่นกัน จู่ๆคุณยายที่ล้มตัวลงนอนไปพักใหญ่แล้ว ก็ลุกโพลงขึ้นมาจากเตียง…

“เมิงเอาใครกลับมาด้วย มันมี 2 ตน…มันจะมาเอาตัวกรุไป มันจะมาเอาตัวกรุไป”

คุณเคและท็อปมองหน้ากันด้วยความตกใจและงุนงง แต่ด้วยว่าคุณยายก็ล้มตัวลงกลับไปนอนทันที จนทั้งคู่เคลิ้มจะหลับ คุณยายก็ลุกขึ้นมากระซิบกระซาบด้วยเสียงแห่บพล่า ดวงตาสีขุ่นเทาด้วยต้อหันมาจับจ้องทางเจ้าท็อป

“ป่ะทิง… ป่ะทิง… ป่ะทิงโท่ง..ทิง”

ท็อปจับแขนคุณอาร์มไว้แน่น ตัวสั่นเทา ‘เค เมิงได้ยินเหมือนกรุมั้ย..’

แต่ทั้งคู่ก็ข่มตานอนจนหลับ ภายหลังคุณยายที่เจ็บออดแอดๆอยู่แล้ว ก็ทรุดหนักลงเรื่อยๆ จนกระทั่งบ่ายวันหนึ่งมีโทรศัพท์มาแจ้งว่า ‘ยายท็อปเสียแล้ว’ วันนั้นท็อปที่เรียนอยู่โรงเรียนเดียวกันกับคุณเค ได้กลับบ้านล่วงหน้าไปก่อนแล้ว

คุณเคตัดสินใจนอนเฝ้ายายเป็นเพื่อนท้อป เนื่องจากคุณเครู้จักคุณยายมานาน จึงไม่ได้รู้สึกกลัวอะไร ที่งานศพ…บ้านไม้เก่าๆหลังไม่ได้ใหญ่มาก มียกพื้นขึ้นสูง ขึ้นบันไดไปจะเจอกับโถงหน้าบ้าน ศพและโลงตั้งอยู่ที่โถงนั้น ถัดจากโถงไปทางซ้ายจะเป็นห้องที่ยายเคยนอน ภายในกว้างราว 2×3 ม. ประกอบไปด้วยตู้และเตียง คืนนั้นพวกผู้หลักผู้ใหญ่นอนกันอยู่เต็มลานตั้งศพ และบอกให้พวกเด็กๆเข้าไปนอนในห้องนั้น …

Admin

04/04/2020

ศาลผีอาถรรพ์แรง ที่มียอดชมกว่า 9 แสนวิว

เรื่องเริ่มต้นจากพี่A ซึ่งครั้งนึงคุณโบนัสเคยร่วมงานด้วย พี่A มีประสบการณ์การทำงานเกี่ยวกับการทำผับ ตกแต่งและออกแบบผับ ตอนนั้นพี่A มอบหมายงานหนึ่งให้คุณโบนัส ตัวผับตกแต่งภายในเรียบร้อยแล้ว คุณโบนัสมีหน้าที่ต้องไปทำการตลาดให้ โดยที่คุณโบนัสไม่รู้เลยว่าเป็นผับแบบไหน วันนั้นคุณโบนัสต้องนั่งรถตู้ไปกับทีมช่างที่เอาอุปกรณ์เครื่องเสียงและอุปกรณ์ไฟไปลง จู่ๆหัวหน้าช่างก็เอ่ยปากทักขึ้นว่า

“ศาสตามสั่ง” เรื่องเล่าผี โดยคุณโบนัส

“เออนี่ เราต้องไปอยู่3 เดือนใช่มั้ย? ไปถึงก็พยายามไหว้ๆศาลหน่อยนะ”

“ได้ๆพี่ ปกติไปไหนผมก็ไหว้ประจำอยู่แล้ว”

ระหว่างทาง หัวหน้าช่างคนนี้ก็ได้เล่าพื้นเพของผับแห่งนี้ ว่าได้รับความร่วมมือโดยหุ้นส่วน 4  คน(โดย ณ ที่นี้จะขออนุญาติใช้เป็นนามสมติ เนื่องจากมีคนเสียในเหตุการณ์นี้เยอะ) ประกอบไปด้วยพี่B อายุ35 ปี พี่C อายุราว27-28 ปี คนถัดมาคือพี่K และสุดท้ายคือเจ้าของที่ดิน

พี่B เป็นคนที่ไม่เชื่อหรือนับถืออะไรเลย แต่พี่B จะไม่ได้เข้ามาจัดการภายในร้าน เนื่องจากทางพี่B นั้นมีธุรกิจโรงแรมในจังหวัดเดียวกันนั้นอยู่แล้ว ส่วนพี่K ก็มีธุรกิจโรงงานทางบ้านที่ต้องดูแล พี่C จึงเป็นคนที่มีหน้าที่ดูแลจัดการภายในร้านนี้ ร้านนี้ตั้งอยู่ห่างจากตัวเมืองราว 5  ก.ม. ร้านมีลักษณะเป็นกระจกโดยรอบไม่ใช่ผับแบบปิดทึบ โดยตัวอาคารร้านจะอยู่ตรงกลาง ทางด้านขวาจะขนาบไปด้วยโต๊ะทานอาหารและต้นไม้ ส่วนด้านซ้ายจะเป็นลานจอดรถ ถัดไปทางด้านหลังจะมีกำแพงสูงๆราวตึกสองชั้น คล้ายทำเพื่อกั้นออกจากสวนยางที่อยู่ถัดจากร้านไป

แต่สิ่งหนึ่งที่สะดุดตาคือ ‘ศาลตา-ยาย’ ซึ่งทำจากไม้สักทั้งหลัง ส่วนตัวคุณโบนัสทำงานมาหลายที่ ก็พึ่งจะเคยเห็นศาลภายในร้านที่มีขนาดใหญ่โตเท่านี้ โดยตอนสร้าง..เจ้าของที่ดินซึ่งเป็นหุ้นส่วนคนสุดท้ายของทางร้าน ถึงกับกลับมาจากต่างประเทศเพื่อกำกับตอนสร้างศาล ศาลที่จะสร้างต้องได้ตามแบบนี้ ความพิถีพิถันเป็นพิเศษมีเหตุผลมาจาก เพราะศาลตายายแห่งนี้คือศาลของบรรพบุรุษเจ้าของที่ดิน จำนวนหุ่นในศาลจึงถูกกำหนดให้มีจำนวนตรงตามผู้เสียชีวิตของบ้านเขา หุ่นแต่ละตัวจะมีถาดโลหะวางอาหารถวายครบตามจำนวนเช่นกัน โดยที่หุ่นแต่ละตัวจะมีรายละเอียดกำกับด้วยว่า..ตัวไหนชอบทานอาหารอะไร ก็ขอให้จัดการตามนั้น ลักษณะของศาลจะมีบันไดฐานปูนขนาดใหญ่ ตั้งอยู่ใต้ศาลไม้สักเรือนไทย เรียกว่าใครไปใครมาเห็นเป็นต้องสะดุดตา คุณโบนัสเล่าว่าด้วยความที่ศาลนี้ได้รับความใส่ใจและพิถีพิถันในรายละเอียดเป็นพิเศษจนเกินไป ทำให้ฟังแล้วรู้สึกขนลุกชอบกล

หลังจากมาถึงคุณโบนัสก็ไหว้ศาลตามที่บอกทันที โดยที่ร้านได้พบกับพี่C เป็นครั้งแรก หลังการแนะนำตัวพี่C ก็ไหว้วานให้คุณโบนัสช่วยงานด้านการตลาด หากมีข้อเสนอแนะวิธีในการประชาสัมพันธ์และเรียกลูกค้าอย่างไร ก็ให้บอกได้เลยทุกอย่าง เนื่องจากพี่C ก็ไม่เคยทำผับมาก่อน ผ่านไป1 เดือนให้หลัง ร้านเสร็จพร้อมเปิดให้บริการ เปิดร้านมากิจการดีมาก รายได้ต่อคืนกว่าแสนกว่าบาท สำหรับผับในต่างจังหวัดเช่นนี้ ถือว่าประสบความสำเร็จ

หากแต่ความสำเร็จกลับอยู่ได้ไม่นานนัก เมื่อเข้าเดือนที่3 มาได้3-4 วัน พี่B หุ้นส่วนคนที่มีกิจการโรงแรมได้เข้ามาเที่ยวที่ร้าน วันนั้นพี่B เข้ามาแตะไหล่คุณโบนัสพร้อมทักว่า

“เราเอาอะไรมั้ย เดี๋ยวพี่จะไปฮ่องกง อีก2 วันจะซื้อของมาฝาก”

“อ๋อ ไม่เป็นครับพี่ อะไรก็ได้”

คุณโบนัสตอบกลับไปด้วยความเกรงใจ กอปรกับว่าตนจะอยู่อีกแค่เดือนเดียว บทสนทนาที่เรียบง่ายในวันนั้น ไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นการพบกันครั้งสุดท้าย ในขณะที่พี่B ยังมีชีวิตอยู่…

ถัดจากวันนั้นราว4 ทุ่มพี่C เข้ามาคุณโบนัสแล้วบอกว่า

“โบนัสมาเป็นเพื่อนพี่หน่อย พี่B ขับรถประสานงากับสิบล้อ”

จากคำบอกเล่าระหว่างทางไปโรงพยาบาล พี่C บอกว่าพี่B จะไปขึ้นเครื่องที่กทม. เพื่อบินไปฮ่องกง โดยขับรถไปกับครอบครัว4 คน โดยที่พี่C ก็ยังเปรยด้วยความเป็นห่วงว่า ‘ทำไมไม่ขึ้นเครื่องไปต่อเครื่องเอา’ เนื่องจากพี่B เป็นคนขับรถเร็วและเส้นทางนั้นเป็นเส้นทางที่รถสิบล้อวิ่งกันขวักไขว่ บริเวณแถวค่ายทหารก่อนหัวหินขาเข้ากทม. จะมีจุดแยกวกลับรถขณะที่รถพ่วงบรรทุกกำลังเลี้ยวกลับรถ จุดที่ว่านั่นเองรถของพี่B ก็พุ่งเข้าไปเสียบคาอยู่ใต้ท้องรถพ่วงเนื่องจากคุณโบนัสไม่ได้รู้จักคุณB มากนัก หลังได้ฟังจึงพูดปลอบขึ้นว่า ‘พี่เขาคงถึงฆาตจริงๆ แกคงขับรถด้วยความประมาท’

หลังจากที่ไปถึงโรงพยาบาล นอกจากพี่B ที่ขับรถแล้ว ยังมีภรรยาลูกสาวอายุ 12 ขวบและลูกชาย 5 ขวบรวม 4 คน โดยมีเพียงลูกสาวเท่านั้นที่รอดชีวิตมาได้ในสภาพขาหักทั้ง 2 ข้าง ที่น่าแปลกอีกก็คือทุกคนในรถก็มีสภาพขาหักทั้ง 2 ข้างเช่นเดียวกัน ส่วนคอของพี่B เองก็ถูกกระจกรถบาดอยู่ในสภาพหวิดขาด (ซึ่งสภาพศพจะมีความสำคัญต่อเรื่องนี้ในภายหลัง)

ภาพตรงหน้าสร้างความวิตกให้แก่พี่C อย่างมาก…เรื่องแบบนี้ไม่น่าเกิดขึ้นเลย จากปากคำให้การภายหลังพบว่า คนขับรถพ่วงไม่ได้หนีและก็ตกใจเช่นกัน คนที่อยู่ในเหตุการณ์คอยโบกแท่งไฟสัญญาณจุดกลับรถให้การว่า

“รถแวนคันนั้นพุ่งมาอย่างเร็วมาก ไม่มีการชะลอ ราวกับไม่เห็นรถพ่วงและสัญญาณไฟที่โบกเลย”

หลังจากที่เดินเรื่องเสร็จก็ขอนำร่างไปบำเพ็ญกุศลที่วัด ส่วน‘น้องเฟิร์น’ ลูกกสาวที่รอดมาได้นั้น ยังคงพักรักษาตัวอยู่ ยังไม่สามารถให้การอะไรได้ ว่าคืนนั้นเกิดอะไรขึ้น คุณโบนัสเล่าว่าขออนุญาตเอ่ยชื่อจริงและบางทีน้องอาจกำลังฟังเรื่องนี้ ส่วนคุณโบนัสก็กลับไปที่ร้านเนื่องด้วยไม่ได้มีความเกี่ยวข้องโดยตรงกับทางพี่B เย็นวันที่ 2 หลังจากพิธีงานศพ คุณโบนัสขับรถเข้าร้านตอน 5 โมงเย็น เนื่องจากร้านนี้ขายอาหารด้วย ก็ได้ยินพนักงานในร้านพูดกันว่า

“เอ…ที่พี่B เสียเนี่ย จะเกี่ยวกับเรื่องเมื่อวันนั้นรึเปล่า”

“ทำไมเหรอพี่B แกไปมีเรื่องกับใครเหรอ” คุณโบนัสถาม

“ไม่มีหรอกพี่ แต่วันนั้นที่พี่B มาร้านแกไปทำอะไรไม่รู้ ตอนนั้น5 ทุ่มแล้ว ผมเอารถมารอรับอยู่ด้านนอกเลยไม่เห็น เช้าวันถัดมาเข้าไปดูถึงเห็นว่า…แกคงเข้าไปในศาล ในนั้นมีหุ่นตัวหนึ่งคอหัก อีก3 ตัวขาหักหมดเลย กองกันอยู่ตรงฐานปูน”

“จากนั้นผมเลยไปแจ้งแฟนพี่C ว่า “พี่เมย์หุ่นในศาลหักชำรุด ทำยังไงดี”

หุ่นไม่น่าตกลงมาเองได้… เพราะภายในศาลหลังใหญ่ คุณโบนัสจึงไปขอดูกล้องวงจรปิดภาพในวันนั้นจากพี่เมย์ เนื่องจากกล้องไม่ได้ถูกติดตั้งให้โฟกัสจับภาพบริเวณศาล ในคลิปจึงเห็นภาพศาลค่อนข้างไกลออกไป แต่สามารถเห็นได้อย่างชัดเจนว่าช่วงกลางดึกคืนนั้น… พี่B เดินเข้ามาในเฟรม แล้วค่อยๆเดินเหยียบขึ้นไปบนศาล ไม่รู้ว่าด้วยสภาพที่เมาอยู่หรือไม่ จู่ๆเขาก็ล้วงมือเข้าไปในศาล อะไรบางอย่างกลิ้งตกหลุนๆลงมาที่ฐานในสภาพไร้ซุ้มเสียง เนื่องจากกล้องไม่ได้บันทึกเสียงไว้

วันต่อมาเรื่องนี้ได้รับการขยายความเพิ่มเติมจากน้องอีกคนที่เป็น ‘บาร์น้ำ’ หรือแผนกเครื่องดื่ม ซึ่งเห็นเหตุการณ์ทั้งหมด หลังร้านวันนั้นพี่B เดินไปเหยียบเข้ากับถาดใส่อาหารสัมภเวสี ด้วยความโกรธจึงสบออกมาว่า ‘เกะกะชิบหายเลย’ จากตรงนั้นเดินไปที่ลานจอดรถจะต้องผ่านหน้าศาลก่อนแน่นอน จู่ๆพี่B ก็เดินขึ้นไปบนศาลแล้วพูดว่า

“กินดีอยู่ดีจังนะ เป็นแค่หุ่นแท้ๆ”

หลังจากนั้นบาร์น้ำเล่าว่า พี่B เอื้อมมือเข้าไปหยิบหุ่น ไม่รู้ว่าเพราะลื่นหลุดมือหรือตั้งใจปาลงพื้น ในที่สุดหุ่น 3-4 ตัวนั้นก็ลงมากองบนฐานปูนอย่างที่กล่าวไปแล้ว

ตรงนี้ขยายความกันในภายหลังว่า เนื่องจากพี่B เองไม่ค่อยเชื่อในเรื่องแบบนี้อยู่แล้ว กอปรกับอาจจะมองว่า…นี่ไม่ใช่ศาลพระภูมิ อย่างที่ที่ทำการอื่นๆมีไว้ปกป้องดูแลสถานที่ แต่‘ศาลตา-ยาย’ ให้พูดอีกอย่างก็คือเป็นแค่ศาลผีนั่นเอง บางทีพี่B คงดูแคลนว่า ‘แล้วทำไมจะต้องไปกราบไหว้บูชา?’ อีกทั้งค่าใช้จ่ายในการดูแลยังสูงมากถึงวันละเกือบพันบาท เนื่องจากหุ่นแต่ละตนก็กินไม่เหมือนกันอีก ในแต่ละถาดยังต้องมีอาหารมากถึง 4 กระทง

คุณโบนัสเล่าเรื่องนี้ให้พี่C ฟังรวมทั้งให้ดูกล้องวงจรปิด ตัวพี่C เองก็ค่อนข้างเชื่ออีกทั้งยังเล่าว่า “ตอนงานศพคืนที่4 พี่ฝันว่ะ ฝันว่าพี่B มายืนอยู่ตรงลานจอดรถแล้วชี้ไปที่ศาล แล้วบอกว่า…”

“ฝากหลานด้วยนะ ตัวเมิงเองก็ระวังด้วย…”

พี่C ยังไม่ทันจะได้ถามว่า ‘ให้ระวังอะไร’ ความฝันนั้นก็เลือนหายไปก่อน จนกระทั่งเรื่องดำเนินไปถึงวันเผาพี่C เดินมาบอกคุณโบนัสว่า

“เนี่ย ช่วงนี้พี่ฝันเห็นพี่B ทุกคืนเลย แล้วก็บอกให้พี่ ‘ระวัง’ อะไรไม่รู้ พี่ไม่กล้าออกไปไหนเลยช่วงนี้”

“งั้นพี่พักก่อนมั้ยล่ะช่วงนี้”

หลังจากนั้นพี่C จึงเรียกประชุมทุกแผนก เนื่อจากพี่C จะขอพักชั่วคราว โดยที่พี่K (หุ้นส่วนคนที่มีโรงงาน) จะเข้ามาดูแลแทน พี่K ก็บอกคุณโบนัสไว้ว่าหากมีธุระจะคุยงานเกี่ยวกับโปรโมทคอนเสิร์ตหรืออะไรให้ติดต่อกับทางพี่เมย์(แฟนพี่B) แล้วกัน พี่เขาจะเข้ามาช่วงเที่ยงๆ

โดยปกติแล้วพี่C จะรับหน้าที่ไหว้ศาล เนื่องจากทางเจ้าของที่กำชับมาว่า ‘ขอให้เจ้าของร้านไหว้เอง…แล้วร้านก็จะดีเอง’ แต่ครั้นพอพี่K มาดูแลแทน ด้วยความที่ยังอยู่ในเหตุการณ์ของความสูญเสียทำให้มองข้ามเรื่องนี้ไป และมอบหมายให้แม่ครัวเป็นผู้ดูแลการไหว้แทน เนื่องด้วยมองว่าแม่ครัวเป็นคนทำอาหารไหว้อยู่แล้ว จึงพอรู้ว่าต้องเตรียมอะไรไหว้ยังไงบ้าง

3-4 วันผ่านไป ผู้จัดการร้านถามหาพี่C กับคุณโบนัสว่า ‘เจอพี่C บ้างมั้ย’ ดูเหมือนว่าภายหลังจากวันนั้นพี่แกจะไม่ได้ติดต่อกลับมาทางร้านเลย คุณโบนัสจึงไปถามหากับพี่เมย์

“พี่เมย์ พี่C เค้าเป็นยังไงบ้างจะถามเรื่องงาน ติดต่อหาแกไม่ได้เลย”

“พี่ก็ไม่รู้นะ ติดต่อไม่ได้เหมือนกัน”

เนื่องด้วยถึงแม้ว่าทั้งคู่เป็นแฟนกัน แต่ก็ไม่ได้อยู่ด้วยกัน วันนั้นพี่เมย์รับปากว่ายังไงก็ตามเดี๋ยวเย็นนี้จะไปดูให้แล้วกัน ว่าอยู่กินยังไงหลังจากนั้นผ่านไปร่วม 10 วัน นับจากวันที่พี่C หายหน้าไปทางร้านและคุณโบนัสก็อดเป็นห่วงไม่ได้ ว่าพี่C อาการเป็นยังไง แกเครียดอะไรรึเปล่า คุณโบนัสก็ถามไถ่จากพี่เมย์อยู่ทุกวัน พี่เมย์ก็บอกเพียงว่า ‘เท่าที่ไปดูก็เห็นพี่C นั่งซึมๆตลอดนะ แกคงเครียดเรื่องที่เพื่อนเสีย แต่คงไม่มีอะไรน่าห่วง’

ผ่านไปอีก2 วัน น้องเฟิร์นผู้รอดชีวิตจากเหตุการณ์วันนั้น ก็ฟื้นตัวพอจะให้ปากคำกับตำรวจได้ ซึ่งตอนนี้น้องย้ายมารักษาตัวต่อที่โรงพยาบาลในจังหวัดเดียวกันกับผับแล้ว น้องเล่าว่า…วันนั้นที่รอดมาได้เพราะคาดเข็มขัดไว้ และยังมีตุ๊กตากับหมอนที่กอดรองหน้ารองคออยู่ จึงไม่ได้รับบาดเจ็บถึงชีวิต น้องเล่าถึงบทสนทนาระว่างพ่อกับแม่ในวันนั้น แม้ตนจะไม่ได้เห็นเหตุการณ์เองเนื่องจากนั่งอยู่เบาะหลัง… ขณะเกือบจะเข้าหัวหินคุณแม่ก็ทักขึ้นมาว่า…

“ดูสิคุณ ทำไมคนแก่มายืนอยู่ชิดถนนเลนขวาขนาดนั้น ไม่กลัวถูกรถชนเอาหรืออย่างไร”

“สงสัยอยากไปเฝ้ายมบาลน่ะสิ”

ผ่านไปอีกไม่ไกลนัก คุณแม่ก็ทักขึ้นอีก…

“ทำไมคนแก่แถวนี้เขาไม่เดินริมถนน แล้วนี่จะ5 ทุ่มแล้ว มาเดินอะไรกันตอนนี้”

“เออ เดินแบบนี้ไม่นานเดี๋ยวได้ดับ”

หลังจากนั้นไม่ถึง5 นาที น้องเล่าว่าไม่ได้สติรับรู้อะไรอีก… รถน่าจะชนเข้าไปแล้ว เรียกว่าตรงกับคำพูดของพนักงานโบกไฟฉุกเฉินที่เล่าว่า รถวิ่งมาด้วยความเร็วโดยไม่ได้เบรกและซัดเข้าไปเต็มแรง

พี่C หายไปร่วม2 อาทิตย์แล้ว ตอนนั้นคุณโบนัสก็ไม่ติดตามเรื่องนี้อีก และใกล้จะกลับบ้านแล้ว เนื่องจากจะครบกำหนดสัญญา3 เดือน เช้าวันหนึ่งคุณโบนัสได้นัดทางบริษัทเครื่องดื่มยี่ห้อหนึ่งมาติดป้ายไฟและทำโปรโมชั่นให้ ขณะเดินเข้ามาในร้านและคุยกันเรื่องตำแหน่งภายในร้าน ว่าจะให้ติดตั้งตรงไหน คุณโบนัสก็เหลือบไปเห็นอะไรบางอย่าง… ตรงบูทดีเจที่อยู่กลางร้าน มีพี่C นั่งเอาหัวพิงกับบูทอยู่ ใบหน้าดูเศร้าหมองและซีดเซียว

“เอ้าพี่ มาตอนไหนทำไมไม่เห็น”

“มาได้สักพักละ แต่กรุเห็นคุยงานกันอยู่ก็เลยไม่ได้ทัก”

หากยืนอยู่ตรงกลางร้านย่อมจะมองเห็นทางเดิน รวมทั้งลานจอดรถ เนื่องจากร้านสร้างด้วยกระจกใสโดยรอบ ในร้านตอนนั้นควรจะมีแค่แม่บ้านคนเดียว และคุณโบนัสไม่คิดว่าเห็นใคร แม้กระทั่งพี่C เดินเข้ามาเลย แต่แล้วจู่ๆแกก็มาโผล่อยู่ที่บูทดีเจ ตอนนั้นคุณโบนัสอดคิดถึงเรื่องน่าขนลุกไม่ได้และภาวนาขอให้ไม่ใช่อย่างที่ตนคิด!

“พี่ดีขึ้นแล้วเหรอ”

“ไม่เลย แย่กว่าเดิมอีก พี่ไม่อยากอยู่เลย”

“เครียดเรื่องอะไรพี่ นี่หลานก็ฟื้นแล้ว ถ้าไม่มีพี่สักคนแล้วหลานจะอยู่กับใคร อย่าไปเครียดเลย..พี่B แกคงหมดเคราะห์แล้ว”

“กรุยังทำใจไม่ได้ว่ะ”

“ถึงยังไงก็ต้องทำใจให้ได้แหละพี่ คนเราถ้าประมาทก็ถึงฆาตได้ทั้งนั้นแหละพี่ เออ..ใช่ ก็ยังดีที่พี่กลับมา ผมก็ถามหาจากพี่เมย์ให้ไปดูพี่ตลอด เพราะติดต่อพี่ไม่ได้เลย”

“ก็ที่กรุเงียบหายไป…ก็เพราะไปงานศพเมย์มานี่แหละ!! เมิงบ้ารึเปล่า…เมิงจะคุยกับเมย์ได้ยังไง”

“พี่!! ให้ใครเป็นพยานก็ได้ คนในร้านก็เห็นกันหมด..ว่าแกมาทำงาน”

ความจริงอันน่าตกตะลึงพาลให้พี่C ยิ่งร้องไห้เศร้าโศกหนักกว่าเดิมอีก นานทีเดียวกว่าแกจะตั้งสติได้และเล่าให้ฟังว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่

“เมื่อ 4-5 วันที่แล้ว พี่เมย์จะเข้าไปในเมืองเพื่อทำธุระ แต่ถูกรถกระบะพุ่งเข้ามาชนมอเตอร์ไซค์พี่เมย์กลางสี่แยก”…

Admin

01/04/2020

“รถทัวร์เที่ยวกลางคืน” ลงไปเข้าห้องน้ำที่ปั้ม..กลับมามีแต่ผีเต็มคันรถ

เรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อ6 ปีที่ผ่านมา เป็นเรื่องสมัยที่คุณตี๋ยังเป็นนักศึกษาอยู่ ตอนนั้นคุณตี๋หารายได้เสริมขณะเรียน ด้วยการรับถ่ายรูปรับปริญญาตามสมัยนิยม ที่วัยรุ่นหันมาเล่นมาใช้กล้องโปรกัน และด้วยความที่เป็นมือสมัครเล่น บางครั้งงานที่รับมาก็มักจะเป็นลูกค้าที่งบน้อยหรืออาจจะอยู่ไกล จนตากล้องมือโปรเลือกที่จะส่งต่อมาให้ทำเพราะไม่อยากไปเอง

เรื่องเล่าสยองขวัญ: รถทัวร์เที่ยวกลางคืน…ลงไปเข้าห้องน้ำแป๊บเดียวกลับมาผีมานั่งข้างๆ

ครั้งนั้นคุณตี๋และเพื่อนอีก2 คนได้รับงานถ่ายรูปรับปริญญาของมหาวิทยาลัยหนึ่งในวันงานซ้อมรับก็ผ่านไปได้ด้วยดี เนื่องจากมหาวิทยาลัยนั้นอยู่ในจังหวัดเดียวกันกับที่คุณตี๋อยู่ หากแต่ในวันรับจริงนั้นต้องเดินทางไกล เพราะงานวันรับจริงนั้นจะถูกจัดในมหาวิทยาลัยชื่อเดียวกันแต่เป็นอีกวิทยาเขตหนึ่งในต่างจังหวัด สำหรับตากล้องมืออาชีพคงเลี่ยงจะรับงานแบบนี้ ด้วยเกรงว่าจะไม่คุ้มค่าเหนื่อย แต่สำหรับคุณตี๋และเพื่อนๆแล้ว ถือว่าเป็นเรื่องน่าสนุกและตื่นเต้น แน่นอนว่าคุณตี๋ไม่เคยไปมาก่อนจึงให้ความรู้สึกเหมือนการผจญภัย… หากแต่พอกลับมาย้อนคิดดูแล้วเหตุการณ์ในครั้งนั้น ดูจะเป็นความตื่นเต้นจากเหตุสยองขวัญมากกว่านึกสนุก

คุณตี๋และพรรคพวก ได้รับการติดต่อจากพี่ที่เป็นลูกค้าว่า ให้ไปขึ้นรถที่มหาวิทยาลัยของพี่ตอน2 ทุ่มครึ่ง เพราะทางมหาวิทยาลัยได้จัดเตรียมรถทัวร์สำหรับรับบัณฑิตและญาติๆ ที่จะไปร่วมงานวันรับจริง ในส่วนของพี่ลูกค้านั้น จะเดินทางไปเองส่วนตัวกับครอบครัว คุณตี๋ไปทันซื้อตั๋วพอดี และได้ที่นั่งในรถคันหนึ่งจากกว่า10 คัน ซึ่งเป็นคันเดียวกันกับเพื่อนที่มาด้วยกัน

รถต้องเดินไปไกลกว่า 6-7 ชั่วโมง ในรถทัวร์ถูกดับไฟจนมืดเพื่อไม่เป็นการรบกวนผู้โดยสาร เนื่องจากเป็นการเดินทางในตอนกลางคืน ทุกคนบนรถภายใต้ความมืด ถ้าไม่หลับโดยซุกตัวอยู่ใต้ผ้าห่มผืนบางที่รถทัวร์แจกให้ ก็มักจะเล่นโทรศัพท์คร่าเวลา คุณตี๋กับเพื่อนที่มาด้วยกันก็คุยเล่นด้วยความตื่นเต้นในการเดินทางครั้งนี้ เพราะไม่เคยมาเส้นทางนี้มาก่อนไม่รู้ว่าจะได้เจออะไรบ้าง พร้อมสังเกตนอกหน้าต่างกันเป็นระยะ จนกระทั่งในที่สุดก็ผลอยหลับกันไปเอง

ไม่รู้ว่ารถเดินทางมาไกลเท่าไหร่ คุณตี๋รู้สึกตัวว่ารถไม่ได้เคลื่อนตัวแม้ยังติดเครื่องอยู่ คุณตี๋มองดูนาฬิกาจากในความมืด ขณะนั้นเป็นเวลาตี3 จึงเริ่มสังเกตนอกรถจากหน้าต่างภายนอก คล้ายรถกำลังอยู่ในจุดพักรถหรืออู่รถทัวร์เพื่อรอเติมน้ำมัน ในอู่มีลักษณะเป็นลานกว้างมีเกาะกลางคล้ายสถานี โดยรอบมีรถทัวร์จอดแวะพักอยู่หลายคัน สักพักทั้งคันรถก็สว่างสไวขึ้นจากหลอดไฟด้านบน ขณะนั้นคุณตี๋เริ่มสังเกตเห็นว่าคนในรถเริ่มตื่นมากดโทรศัพท์บ้าง คุยจ้อกแจ้กบ้าง แต่ครู่หนึ่งก็สะดุ้งขึ้น เพราะว่าฟาร์ม..เพื่อนที่นั่งติดกันนั้นจะลุกไปเข้าห้องน้ำ คุณตี๋ลุกขึ้นให้ฟาร์มเดินออกไปที่ทางเดินได้สะดวก เขาเห็นฟาร์มเดินไปด้านหลังเพื่อเข้าห้องน้ำ… นั่นเป็นครั้งสุดท้ายที่คุณตี๋ยังเห็นฟาร์มมีสติคุยรู้เรื่อง

หลังจากนี้จะเล่าในมุมมองของฟาร์ม ซึ่งคุณตี๋เล่าว่าได้ทราบเรื่องทั้งหมดในภายหลังจากฟาร์ม

ฟาร์มเดินแบบงัวเงียไปท้ายรถเพื่อจะเข้าห้องน้ำ แต่พบว่าถูกใช้งานอยู่ และดูเหมือนจะมีคนรอต่อคิวอีกอย่างน้อย3-4 คน คุณฟาร์มจึงเลือกที่จะลงไปขอเข้าห้องน้ำในสถานี เนื่องจากปวดหนักรอไม่ไหว หลังจากกระซิบกระซาบกับคนขับที่เดินตรวจความเรียบร้อยอยู่ คนขับก็เหมือนแกล้งพูดว่า ‘ปวดขี้เหรอ รีบไปรีบมาแล้วกัน แถวนี้อยู่นานไม่ดี’ จนเพื่อนคุณฟาร์มอดขำและแซวไม่ได้

คุณฟาร์มลงไปใช้ห้องน้ำในสถานี ห้องน้ำจัดว่าสะอาดดีไม่ต่างจากห้องน้ำในปั๊มใหญ่ๆ หลังปลดทุกข์เรียบร้อยแล้วก็กลับออกมา แต่คราวนี้ด้านนอกกลับเต็มไปด้วยรถทัวร์หน้าตาคล้ายกันเต็มไปหมด บางทีรถคันอื่นๆคงตามมาทันกันพอดี คุณฟาร์มมองหายังไงก็ไม่เจอรถของตัวเอง เนื่องจากตอนขึ้นก็ไม่ได้จดจำลักษณะเด่นหรือป้ายทะเบียนรถ คุณฟาร์มเดินหาอยู่สักพั กก็ไปเจอรถคันหนึ่งจอดอยู่ห่างออกไป คุณฟาร์มคิดว่าน่าจะใช่ และพอดีที่มองขึ้นไปบนหน้าต่างและเห็นเพื่อนที่มาด้วยกันนั่งอยู่บนนั้น ขณะนั้นคุณฟาร์มเล่าให้ฟังภายหลังว่า…น่าแปลกอยู่เหมือนกัน ที่รถไม่ได้จอดอยู่ที่เดิม และในรถก็มืดสนิท แต่ตอนนั้นคิดว่ารถกำลังจะออกและรอเขาอยู่คนเดียว จึงรีบไปขึ้นโดยไม่ได้คิดอะไร

ทันทีที่คุณฟาร์มนั่งลงข้างคุณตี๋ รถก็เคลื่อนตัวออกแทบจะในทันที คุณฟาร์มนั่งอยู่ในความมืดสักครู่ใหญ่ ก็เหมือนนึกเอะใจในความเงียบสะงัด มันเงียบมากจนเหมือนไม่มีใครขยับสักคนบนรถ จู่ๆโทรศัพท์ก็แจ้งเตือนดังขึ้นเป็นเมสเซนเจอร์ จากเพื่อนอีกคนที่นั่งอยู่เบาะหน้านั่นเอง คุณฟาร์มชะโงกหน้าไปมองด้วยความสงสัย ว่าทำไมไม่พูดกับเขาโดยตรงเหมือนตลอดทางที่ผ่านมา ตอนนั้นเองที่คุณฟาร์มเริ่มสังเกตได้ถึงความผิดปกติ บรรยากาศในรถดูขุ่นมัวพิกล ไม่เว้นแม้เพื่อนเขาที่นั่งอยู่ด้านหน้า ก็เอาแต่ก้มหน้าก้มตา คุณฟาร์มอดคิดไม่ได้ว่า…ตอนเขาลงไปคงมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นหรือเปล่า หรือเป็นเพราะเข้าไปเข้าห้องน้ำนานไป

คุณฟาร์มเปิดดูข้อความ แล้วก็ต้องทำหน้างง

“ทำอะไรอยู่”

“ทำอะไร? ทำไมเหรอ..เมื่อกี้ตอนกรุไม่อยู่ เกิดเรื่องอะไรขึ้นรึเปล่า?”

“เกิดอะไร..ไม่มีนี่ เมิงรีบๆมาได้แล้ว”

คำพูดของเพื่อนสร้างความสับสนให้คุณฟาร์ม ทั้งยังไม่ได้ตอบคำถามของเขา จนราวกับคุยอยู่กันคนละเรื่อง แต่ทันใดนั้นสายเรียกเข้าก็ดังขึ้น เป็นสายคุณตี๋..คนที่นั่งอยู่ข้างเขานั่นเอง คุณฟาร์มหันไปมองคนที่อยู่ข้างๆ แต่คุณตี๋นั่งนิ่งไม่ได้หยิบโทรศัพท์ยกขึ้นมาด้วยซ้ำ แม้จะรู้สึกแปลกๆแต่ก็กดรับสายในที่สุด…

“ฟาร์ม นี่กรุตี๋นะ…”

“เมิงเสร็จรึยัง รีบๆมาเร็วๆ ทั้งคันเขารอมึงอยู่คันเดียวเนี่ย”

พูดเรื่องอะไร? พวกเพื่อนกำลังรวมหัวกันแกล้งเขาหรือเปล่า? คนที่นั่งข้างๆ ยังคงนั่งนิ่งไม่แม้แต้มีท่าทางว่าจะขยับปาก หรือกำลังพูดคุยโทรศัพท์ แต่เสียงนั้นเป็นคุณตี๋ไม่ผิดแน่ แล้วจู่ๆเหมือนรู้ตัวว่ากำลังถูกจ้องมอง…คนที่นั่งข้างคุณฟาร์มก็ค่อยๆหันหน้ามาช้าๆ แทบจะ90 องศา โดยที่ส่วนลำตัวไม่ขยับ คุณตี๋มองมาทางคุณฟาร์มด้วยหน้าบึ้งตึง

ก่อนที่คุณฟาร์มจะปะติดปะต่อเรื่องราวได้ เขาก็รู้สึกตัวว่าไม่ได้มีแค่คนที่นั่งข้างเขาเท่านั้นที่หันหน้ามาจ้องดู เหมือนทุกสายตาบนรถจะหันหน้ามาทางเขา ในสภาพที่ลำตัวส่วนที่เป็นคอลงมาแทบไม่ขยับ โดยเฉพาะเพื่อคนที่นั่งเบาะหน้า หันคอกลับหลังมามองเขาในลักษณะ180 องศา คอเห็นรอยบิดปูดโปนจนน่าเจ็บปวดอย่างชัดเจน แน่นอนว่าคนปกติไม่มีใครทำได้!  นั่นเป็นภาพสุดสยองสุดท้าย ที่คุณฟาร์มเห็นก่อนที่จะกรี๊ดร้องสุดเสียงและสลบไป

คุณตี๋เล่าว่าหลังปะติดปะต่อกับคำบอกเล่าของฟาร์ม จังหวะที่ทุกคนกำลังรอฟาร์มอยู่บนรถด้วยความร้อนใจเพราะหายไปนาน เพื่อนอีกคนจึงเมสเซจไปหาและคุณตี๋ก็โทรไปถามจริง หลังจากนั้นไม่นานก็ได้ยินเสียงกรีดร้องดังสนั่น มาจากอีกฟากหนึ่งของลานในอู่รถ สร้างความสนใจและตกใจให้คนที่ได้ยิน ทั้งรถก็มองนอกหน้าต่างในทางเดียวกัน ตรงนั้นเป็นคล้ายสุสานรถ ที่มีซากรถทัวร์ผุพังไปจอดกองรวมอยู่หลายคัน ซึ่งไม่น่าจะมีใครไปอยู่ในนั้น จนมีเจ้าหน้าที่คนงานในสถานีพากันวิ่งไป และพบฟาร์มนั่งในสภาพไร้สติอยู่บนซากรถคันหนึ่ง

ในภายหลังได้ทราบว่า รถคันนั้นเป็นซากรถทัวร์ที่ประสบอุบัติเหตุตกไหล่ทางพลิกคว่ำ เสียชีวิตยกคัน เมื่อช่วง 3-4 ทุ่มก่อนนี่เอง ถูกลากมาไว้ที่นี่หลังตำรวจท้องที่ดำเนินการเสร็จ คนงานเล่าว่าที่นี่ก็มีแบบนี้อยู่บ่อยๆ ไม่มีใครอยากเดินไปทางนั้นกลางคืนกัน และจนแล้วจนรอด…เราก็ไม่เข้าใจว่าสิ่งที่ฟาร์มเห็นคืออะไรหรือมันเกิดขึ้นได้ยังไง หลังจากเสร็จงานของเราในช่วงเช้าวันนั้น ก่อนกลับเราได้แวะทำบุญกันที่วัดแถวนั้น จากที่ได้เล่าเรื่องราวให้หลวงพ่อฟังดูเหมือนจะเป็นคราวเคราะห์ของฟาร์ม หรือจิตใจอยู่ในช่วงที่สื่อสารถึงได้พอ ดีจึงได้เห็นในสิ่งที่ไม่ควรเห็น

อ่านเรื่องผีน่ากลัว เรื่องอื่นๆ >> กดที่นี่

กลับสู่หน้าแรก สยองสแควร์

Admin

29/03/2020

เยี่ยวเซ่นผี! วัยรุ่นลองของ..ฉิ้งฉ่องใส่แก้วน้ำที่เซ่นไหว้ผี

เมื่อราวๆปี 42 ตอนนั้นผมพึ่งเรียนจบหลักสูตรชั้นปวช.มาหมาดๆจากฉะเชิงเทรา แล้วมาสมัครเข้าทำงานที่ทำงานเดียวกันกับพ่อ ที่นั่นทำให้ผมได้รู้จักกับเต้ เต้เป็นคนที่มีมนุษย์สัมพันธ์ดี เฮฮาปาร์ตี้ เพียงแค่ 2 เดือนหลังจากผมเริ่มทำงานเราก็สนิทสนมกัน ปกติเต้จะนัดเพื่อนๆเพื่อไปกินดื่มช่วงวันหยุดอยู่บ่อยๆ

วันหยุดสุดสัปดาห์หนึ่งในปฏิทิน เต้ก็จัดทริปพร้อมชักชวนเพื่อนไปหาดแหลมแม่พิมพ์ จ.ระยองกัน อย่างไรก็ตามผมไม่เคยไปมาก่อนเลยถามดูว่ามีใครไปบ้าง แล้วจะไปกันทางไหน เต้ก็ขอกว่าตนจะขับรถปิกอัพไป โดยนอกจากตัวเอบและแฟนสาว ก็ยังมีเพื่อนผู้ชาย 2 เพื่อนผู้หญิงอีก 3 และหลานชายที่มาเยี่ยมจากต่างจังหวัดอีก 1 โดยแผนคือไปวันเสาร์ กลางคืนก็สังสรรค์กัน กลับวันอาทิตย์เป็นอันจบพิธี ซึ่งแน่นอนว่าผมไม่ได้มีอะไรขัดข้อง ซ้ำยังชอบทะเลอยู่แล้ว ไม่พลาดโอกาสเป็นแน่แท้

วันเสาร์หลังเลิกงาน ผมก็ขึ้นรถไปกับเต้ก่อนที่จะไปรับเพื่อนของเต้ ในนั้นมีหลานวัย 14 ปีของเต้ที่ชื่อ ต้อง รวมอยู่ด้วย นอกจากรถของเต้ที่ผมนั่งก็ยังมีรถคันอื่นของเพื่อนเต้ตามมาด้วย จากนั้นรถก็ออกมาตามเส้นทางจนเข้าสู่ระยอง เต้ก็พาตัดลัดเข้าเส้นทางสายหนึ่ง เส้นทางที่ว่าดูเปลี่ยวพอสมควร สองข้างทางมีแต่ป่ามันสำปะหลังและสัปปะรด กระทั่งผมกับเต้นัดแนะกันว่าจะจอดพักปัสสาวะข้างทาง เลยส่งสัญญาณไปถึงรถคันหลังที่ตามกันมาให้จอด

หลังรถจอดสนิท เต้และผมเดินไปที่ต้นหูกวางต้นใหญ่มากทีเดียวอยู่ที่ริมทาง กะว่าโคนต้นจะเป็นจุดหมายปลายทางที่จะได้ปดปล่อยให้สบายตัว แต่อนิจจา…พอเข้าไปดูใกล้ๆก็ต้องสะดุ้งโหยง เพราะหลังต้นหูกวางที่ว่ามีกระทงทำจากใบตองวางเรียงรายอย่างเป็นระเบียบ แต่ละกระทงจะมีอาหารคาวหวาน ผลไม้ กับแก้วน้ำพลาสติกที่ว่างเปล่าอยู่ ไม่รู้ว่ามันว่างเปล่าตั้งแต่แรกหรือระเหยออกไปท่ามกลางวันที่ร้อนระอุ ห่างไปนิดเดียวมีศาลเพียงตาทำจากไม้หลังเล็กตั้งอยู่

เกือบไปแล้ว! ผมหันมองหน้ากันกับเต้เป็นนัยน์ ก่อนที่จะยกมือไหว้เป็นเชิงขอขมาลาโทษ จากนั้นจึงเดินหลบไกลเข้าไปในป่าข้างทางอีกหน่อย เพื่อหาทำเลที่จะชิ้งช่องกัน หลังเสร็จกิจธุระก็ต่างคนต่างเดินออกมาเพื่อจะกลับไปยังรถที่จอดทิ้งไว้ข้างถนน ผ่านศาลที่ว่ามาอีกครั้งก็ยกมือไหว้อีก อย่างไรก็ตามขณะที่กำลังจะขึ้นรถกัน ก็เจอกับ “ต้อง” หลานของเต้พรวดพราดออกมา แล้วบอกกับเต้ว่า ผมพึ่งจะรู้สึกปวดขั้นมาพอดี ขอเวลาแป๊บเดียว พี่รอผมกันก่อนนะ หลังว่าจบก็เดินดุ่มๆไปทางเดียวกับที่พวกเรามา ก่อนจะอ้อมไปยังหลังต้นหูกวางต้นใหญ่หายลับตาไป

ตอนนั้นพระอาทิตย์กำลังจะตกพอดี เรียกว่าอากาศเริ่มไม่ร้อนจากแดดเปรี้ยงๆเหมือนตลอดทางที่มา อีกทั้งใกล้ชายทะเลก็ดูเป็นวิวทิวทัศน์ที่สวยดี ผมเลยบอกเต้ว่าเดี๋ยวขอนั่งที่กระบะหลังเลยดีกว่า ส่วนเจ้าต้องที่กลับมาพอดีก็สำทับขึ้นมาว่าจะนั่งด้วยกันกับผม แต่ที่แปลกประหลาดก็คือ…หลังจากทุกคนประจำที่เรียบร้อยแล้ว รถกำลังจออกตัวพอดี จู่ๆผมก็รู้สึกได้ว่ามีจังหวะนึงที่ “รถยวบ” ก่อนจะคืนตัวเด้งขึ้นมา ถ้าถามผมผมก็คงบอกได้ว่า มันเหมือนกับเวลาที่มี “ใครอีกคน” ปีนขึ้นมานั่งด้วยกันนั่นแหละ เพียงแต่จนถึงตอนนั้นก็มีแค่ผมกับเจ้าต้องสองคนอยู่ท้ายปิคอัพเท่านั้น ตอนนั้นผมรู้สึกว่ามันไม่ชอบมาพากลเสียแล้ว สงสัยว่าทริปนี้คงจะมีเรื่องจ๊าบๆเข้าให้แล้ว

พอราวทุ่มกว่าๆ พวกเราก็มาถึงหาดแหลมแม่พิมพ์ จุดหมายที่ตั้งใจกันไว้ รถสองสามคันถูกจอดต่อๆกัน ก่อนที่จะพากันเปิดท้ายรถเอาเสื่อมาปูที่ริมหาด ส่วนผมนั้นก็ลงมือสวมบทบาทเป็นเชฟจำเป็น เผากุ้งเผาปูที่มาพร้อมกับน้ำจิ้มซีฟู้ดรสเด็ด ส่วนเต้กับเพื่อนผู้ชายก็เริ่มร้องรำทำเพลงกันอย่างครื้นเครงเคล้าไปกับเสียงคลื่นซัดหาด ต้องยอมรับว่าบรรยากาศที่นี่ดีมาก คิดไม่ผิดเลยที่ตามมาด้วย…ถ้าหากว่า ไม่มีเรื่องนั้นเกิดขึ้นเสียก่อน

ขณะที่ผมกำลังยืนย่างปูและกุ้งเผาอยู่นั้น ตาก็เหลือบไปเห็นเงาใครบางคนเดินระส่ำระสายไปมา ห่างออกไปไม่ไกลนักใต้ต้นสนต้นหนึ่ง จู่ๆก็มีเสียงเจ้าต้องร้องขึ้นมาว่าปวดชิ้งฉ่องอีกแล้ว เดี๋ยวขอไปล่อยใต้ต้นสนนั่นก่อนนะ แล้วก็เดินดุ่มๆไปตรงนั้นราวกับถูกลากไปด้วยเชือกที่มองไม่เห็น เหตุการณ์ทั้งหมดอยู่ในสายตาของผมโดยตลอด เจ้าต้องยืนเก้ๆกังๆอยู่ใต้ต้นสนที่มีเงาประหลาดนั่น จนผมนึกสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้นหรือเปล่า ก่อนที่มันจะล้มฟุบลงไปต่อหน้าต่อตา

ผมทะยานวิ่งตรงไปที่ใต้ต้นสนทันที แต่ยังไม่ทันจะถึง จู่ๆมันก็ลุกขึ้นแล้วเดินสวนกลับมาทันที แต่จังหวะที่สวนกันกับผม ผมก็สัมผัสได้ถึงความผิดปกติของเจ้าต้องขึ้นทันที แม้ว่าใบหน้าเจ้าต้องจะหันตรงไปทางกลุ่มที่กำลังนั่งสังสรรค์กัน แต่สายตากับเหล่มาทางผมจนแทบเหลือก นัยน์ตาดูแข็งกร้าวราวอยู่ในที ผมเลยถามออกไปว่าเป็นอะไรรึเปล่า เมื่อกี้เห็นล้มลงไป แต่ก็ไม่ได้รับคำตอบอะไรกลับมา

แล้วเรื่องชวนสะพรึงก็เริ่มต้นขึ้น…พอเจ้าต้องเดินไปถึงจุดที่เต้และเพื่อนปูเสื่อนั่งดื่มกันอยู่ ก็ตรงไปที่เตาปิ้งย่าง ก่อนที่จะคว้ามือไปหยิบกุ้งดิบๆที่พึ่งจะเอาลงเตาหมาดๆ แล้วใช้มือบิดกุ้งออกเป็น 2 ท่อน ก่อนจะลงมือเคี้ยวตุ้ยๆอย่างมูมมามต่อหน้าต่อตาคนอื่นๆที่ได้แต่งงงัน ผมเลยทักถามออกไปว่า “เห้ย ต้อง กินแบบนั้นได้ยังไง? มันยังไม่สุกเลยนะ” แต่คำตอบของเจ้าต้องทำให้ดวงตาของคนอื่นที่จับจ้องอยู่ต้องเบิกโพลงอย่างไม่รู้ตัว

“ไม่!! แบบนี้แหละอร่อยดี หิว…กรุหิววว กรุจะกินมันดิบๆ ให้หมดเลยยยยย”

เต้ผู้เป็นอาเห็นเช่นนั้นจึงเข้ามาตักเตือนต้องว่า “กินแบบนั้นไม่ได้ ถ้าไม่สุกมันจะเป็นพยาธิ รอให้พี่เขาย่างให้สุกก่อนค่อยกินสิ” แต่ต้องนอกจากจะไม่ฟังยังมีปฏิกิริยาตอบโต้… “ไม่!! กรุจะกินนน” เต้ถึงกับเดือดขึ้นมาชั่ววูบ คว้าคอเสื้อของหลานตัวเองขึ้นมา ผมเห็นทีว่าไม่/ด้การเลยจะเข้าไปแยกทั้งคู่ออก พอดีกันกับมือของต้องปัดมือเต้ออกมาโดนผมจนล้มลงไปคลุกฝุ่นกับพื้นทันที ตอนนั้นสาวๆในทริปเริ่มอกสั่นขวัญกันแล้ว สถานการณ์เริ่มจะแย่ลงทุกที

ขณะนั้นดูนาฬิกาข้อมือก็บอกเวลาประมาณ 5 ทุ่มเห็นจะได้ สักพักจึงสังเกตเห็นว่ามีคู่พ่อลูกที่ดูเหมือนจะเป็นชาวประมงหรือคนท้องถิ่น ยืนมองมาทางพวกเราอย่างเก้ๆกังๆ คล้ายกับมีเรื่องอยากจะเข้ามาพูดคุยหรือบอกอะไรบางอย่าง แต่ก็ไม่แน่ใจ ส่วนลูกสาวที่ดูแล้วน่าจะอายุราว 3-4 ขวบ ก็หลบตัวอยู่ด้านหลังคนเป็นพ่อราวกับกลัวสุนัขจรจัด

แฟนของเต้ชื่อน้ำตาลเลยเดินเข้าไปหาสองพ่อลูก คุยกันอยู่สักแป๊บ น้ำตาลก็หน้าถอดสีไปเลย กระทั่งเดินกลับมาเล่าให้ฟังว่า…น้องผู้หญิงคนลูกสาวนั้น เห็นผู้ชายนิรนามสิงสู่อยู่ในร่างของต้อง! ในขณะที่ก็มีผู้หญิงอีกคนหนึ่งนั่งอยู่บนคอ และมีอีกสองนางกำชังกอดเอวต้องเอาไว้แน่น! แม้ว่าจากสายตาของคนอื่นจะมองไม่เห็นสิ่งผิดปกติที่ว่านั่น ชาวบ้านคนพ่อนั้นยังบอกอีกว่า…

“ผมเห็นพวกคุณมานั่งกันอยู่นานแล้ว แต่กลับมีคนยืนอยู่บนหลังคารถ 4-5 คน จ้องมองมาที่พวกคุณนั่งกันอยู่ พอน้องชายคนนั้นเดินไปทางต้นสน เงาคนบนหลังคารถ ก็กระโจนพรวดพราดลงมาแล้วมุ่งหน้าตามเขาไปเลย”

ทีนี้ผมเริ่มเชื่อแล้ว..ว่ามีบางอย่างตามติดพวกเรามาจากที่ไหนสักแห่ง ผมหันกลับไปมอง คราวนี้ก็เจอเต็มๆ ผู้ชายตาลึกกลวงโบ๋ ซึ่งมีผู้หญิงขี่คอก้มหน้าก้มตา มองลงมายังผม ผมเผ้ากระเซอะกระเซิง นัยน์ตาแดงก่ำ กอดเอว พร้อมทั้งชี้นิ้วมาทางผม เป็นนัยเชิงว่า “อย่าเข้ามายุ่มย่ามไม่เข้าท่า!” หรือ “ไม่ใช่เรื่องของเอ็ง” ทำนองนั้น ก่อนที่ผมจะเดินไปกระซิบคุยกันกับเต้ ภวกเราได้ข้อสรุปตรงกันว่า…เจ้าต้องน่าจะไปทำอะไรผิดธรรมเนียม หรือลบหลู่เข้าโดยไม่รู้ตัวสักอย่างนึงเป็นแน่แท้เลย ไม่อย่างนั้นคงตอบคำถามไม่ได้ว่า..ทำไมถึงถูกสัมภเวสีติดตามมาเยอะมาก

เราเลยสอบถามชาวบ้านคนพ่อว่า…แถวนี้พอจะมีวัดไกล้ๆมั้ยครับ คำตอบจากปากของชาวบ้านคือ มีนะ…แต่มันไม่ใกล้หรอก และป่านนี้พระสงฆ์องค์เจ้าคงเข้าจำวัดกันหมดแล้วด้วย อย่างไรก็ตาม แต่หากถัดจากเนินหินข้างหน้าตรงนั้น จะพบว่ามีพระธุดงค์มาปักกลดอยู่ตรงชายหาดนะ ตอนนี้ท่านคงไปเดินจงกรมอยู่ที่ไหนสักแห่งแถวนี้ ยังไงลุงว่าก็พาน้องเขาไปพบท่านดูก่อนเถอะ เผื่อจะพอแก้ไขผ่อนหนักเป็นเบาอะไรได้ แต่ทันทีที่ชาวบ้านพูดถึงเรื่องพระเรื่องเจ้าขึ้นมา เจ้าต้องก็มีอาการขัดขืน แล้วโพร่งออกมาว่า…

“มันลบหลู่ มันไม่ให้เกียรติกรุ! เดี๋ยวกรุจะเอามันไปอยู่ด้วยยย !”

สิ้นเสียงจากปาก ต้องก็ออกวิ่งไปทางทะเล แต่เต้ผู้เป็นอากระโดดเข้าไปเหนี่ยวรั้งเอวไว้ได้ทัน สิ่งที่ไม่น่าเชื่อสายตาคือคนตัวเล็กๆอายุ 14 จะมีแรงมากถึงขนาดฉุดกระชากลากตัวเต้ที่รั้งไว้ จนจวนเจียนจะตกลงไปในทะเลอยู่รอมร่อ ผมเห็นเข้าเลยพาเพื่อนผู้ชายอีก 2 คนกรูกันลงไปช่วยดึงเจ้าต้องขึ้นมา ท่ามกลางเสียงหวีดร้องดังลั่นของผู้หญิงในกลุ่ม บางสิ่งบางอย่างที่กำลังสิงสู่อาศัยร่างของต้องมันขัดขืน พยายามสะบัด สลัดจนผู้ชาย 4 คน พากันล้มกลิ้งกระเด็นระเนระนาดไปหมด

ในภาวะคับขันอยู่นั่นเอง เราก็ได้ยินเสียงสวดมนต์ดังขึ้น ส่วนตัวผมนั้นรู้จักดีว่า…นี่เป็นบทสวดที่เรียกว่าว่า “ไตรสรณคมน์” แล้วจู่ๆร่างของเจ้าต้องที่เมื่อสักครู่ยังดิ้นขัดขืนทุรนทุราย บัดนี้ราวกับถูกหยุดตรึงไว้ด้วยบทสวดที่ว่า ก่อนที่จะมีเสียงร้องโอดครวญของหญิงและชายผสมปนเปจนฟังไม่ได้ศัพท์ ดังออกมาจาปากเจ้าต้อง กระทั่งมีหลวงพ่อรูปหนึ่งปรากฎตัวขึ้น และเดินมาทางที่พวกเราอยู่ รอดแล้ว! สวรรค์มาโปรดชัดๆ พวกเราต่างวิ่งเข้าไปกราบไหว้ พรางกล่าวขอบคุณท่านกันเสียยกใหญ่ เรียกว่าทานมาได้จังหวะพอดี ก่อนที่ท่านจะสอบถามวิญญาณสัมภเวสีเหล่านั้นว่าเรื่องมันเป็นมายังไง ทำไมถึงได้มาแฝงอยู่ในร่างหนุ่มคนนี้ ก็มีเสียงชายแก่ พูดดังขึ้นมาว่า…

“พวกกระผมคือดวงวิญญาณตายโหง เคยประสบอุบัติเหตุคาที่…ตรงจุดเดียวกันกับที่มันจอดรถถ่ายเบากันตรงนั้นนั่นเอง อ้ายหนุ่มคนนี้มันกระทำการลบหลู่ดูหมิ่นพวกกระผม !”

ทุกคนเป็นพยานได้ว่าได้ยินและรับฟังในเนื้อหาเดียวกัน ผมเลยถามออกไปว่า แล้วเจ้าต้องมันไปทำอะไรให้พวกท่านหรือ? สัมภเวสีในร่างเจ้าต้องหันมาก่อนจะชี้นิ้วมาทางผมกับเต้ แล้วพูดว่า…

“ก็มันไปเยี่ยวใส่แก้วเปล่า ในกระทงที่ใส่ของเซ่นไหว้ น่ะสิ! ไม่พอ…มันยังเอาไปเทใส่ลงแก้วในตรงศาลเพียงตาอีก!” 

“แล้วรู้ไหม…อ้ายหมอนี่มันพูดว่าอะไร?” 

ผมส่ายหน้า…รับฟังโดยไม่ได้ตอบอะไร

“มันบอกว่า… กินขนมสาลี่แล้วไม่มีน้ำได้ไง! มันจะติดคอนะรู้มั้ย มานี่…เดี๋ยวกรุเอาน้ำให้กินจะได้ไม่คอแห้งไง !”

ผมกับเต้ได้แต่มองหน้าเลิกลั่กกัน เจ้าต้องมันเล่นแรงถึงขนาดนั้นเชียวหรือเนี่ย? หลวงพ่อท่านเลยพยายามจะเคลียร์ให้ ว่าแล้วจะให้ทำอย่างไร? ให้ซื้อของไปเซ่นใหม่ได้มั้ย? สัมภเวสีในร่างเจ้าต้องก็บอกว่า..ไม่เอาแล้ว เขาจะเอาบุญใหญ่อย่างเดียวเท่านั้น พระท่านก็ถามว่า..บวชเณรหรือ? ร่างเจ้าต้องพยักหน้ารับอย่างว่าง่ายทันที โดยมีเวื่อนไขเล้กน้อยว่า…พวกตนจะให้โอกาสหลังจากนี้ไป 15 วัน โดยที่พรุ่งนี้ต้องเริ่มเอาดอกไม้ธูปเทียนไปถวาย จนกว่าจะไปบวชเณรให้หนึ่งเดือน ไม่เช่นนั้นนั้นจะไม่รับรองความปลอดภัย และจะเอาเจ้าต้องไปอยู่ด้วย!

พอได้พูดบอกความต้องการครบหมด ร่างเจ้าต้องก็หงายหลังล้มตึงลงไปในทะเลราวกับร่างไร้วิญญาณ เต้ผู้เป็นอารีบวิ่งลงไปอุ้มขึ้นมานอน อย่างไรก็ตาม กว่าที่ต้องจะรู้สึกตัวฟื้นขึ้นมาก็ปาเข้าไปตอนตี 5 แล้ว ก็ปรึกษาหาลือและคาดคั้นเอาความจริงร่วมกัน..ได้ความว่า ตัวเจ้าต้องเองไปทำเรื่องแบบนั้นมาจริงๆ เลยโดนอบรมสั่งสอนเสียยกใหญ่ พอเช้าวันอาทิตย์ขากลับไปตรงนั้น เราก็ไม่ลืมที่จะเอาดอกไม้ธูปเทียนไปไหว้ขอขมาลาโทษเขา นอกจากนี้ก็มีของเซ่นไหว้ติดไม้ติดมือไปฝากอย่างไก่ย่างปลาทูขนมไปด้วย …

Admin

28/02/2020

เรื่องผี | อยู่ได้แค่ 4 คืน!…บ้านเช่าหลอนบนเกาะสมุย

เรื่องผีเรื่องนี้เกิดขึ้นบนเกาะท่องเที่ยวชื่อดังอย่าง “เกาะสมุย” ในจ.สุราษฎร์ธานี เมื่อเจ้าของเรื่องเล่าต้องไปทำงานที่นั่นกว่า 2 เดือน จึงจำเป็นต้องหาบ้านเช่าชั่วคราว แต่บังเอิญว่าบ้านหลังนี้นั้นมีอะหรไม่ชอบมาพากลอยู่ และสิ่งที่เขาเจอมาก็ทำให้เขากับน้องชายต้องรีบย้ายหนีหลังอยู่ไปได้เพยงแค่ 4 วัน

เรื่องผีบนเกาะสมุย ย้อนกลับไป 9 ปีก่อน

เรื่องนี้เป็นประสบการณ์ที่ผมเองนั้นประสบพบเจอมาเมื่อครั้งที่ไปเกาะสมุยเพื่อทำงาน ย้อนกลับไปกว่า 9 ปีก่อน ออกตัวก่อนว่าปกติแล้วผมไม่ใช่คนที่เชื่อหรืองมงายในเรื่องผีๆสางๆ แต่เหตุการณ์สุดสพรึงตอนปลายปี 2553 ครั้งนั้น มันทำให้ผมยังคงหาคำอธิบายมาตอบไม่ได้จนทุกวันนี้ ตอนนั้นผมได้รับเหมางานในการไปติดตั้งเซ็ตระบบเครือข่ายเซิร์ฟเวอร์ขนาดใหญ่ โดยที่มีน้องชายผมเป็นผู้ร่วมงานไปด้วย นอกจากนี้ยังมีทีมงานจากบริษัทผู้ว่าจ้าง 3 – 4 คนเดินทางไปที่เกาะสมุยด้วย อย่างไรก็ตามเนื่องจากงานนี้เป็นโปรเจกต์ค่อนข้างใหญ่ ตามแผนแล้วคาดว่าต้องใช้เวลาราว 1 หรือ 2 เดือน ทางบริษัทผู้ว่าจ้างจึงได้จัดหาบ้านเช่าไว้ให้พักอาศัยรวมถึงเป็นที่เก็บอุปกรณ์ต่างในการทำงาน

พวกผมเดินทางมาถึงบ้านพักกันช่วงบ่ายๆแล้ว บ้านที่ว่ามีลักษณะเป็นคล้ายๆกับห้องแถวแบบชั้นครึ่ง มีห้องหับเรียงกันอยู่ราว 6 ห้อง ผมรู้สึกแปลกๆตั้งแต่เข้าไปครั้งแรก อาจจะด้วยที่ว่าห้องค่อนข้างจะคับแคบ อีกทั้งดูเหมือนไม่ได้มีคนอยู่มาพักใหญ่ ทำให้ได้กลิ่นอับชื้นภายในห้อง หลังเปิดประตูหน้าต่างรับลมก็เหมือนจะดูดีขึ้นหน่อย แต่สิ่งหนึ่งที่ชวนให้อึดอัดคือ แม้ว่าแดดยังแรงสว่างจ้า แต่บริเวณห้องกลับไม่ค่อยมีแสงเข้า ทำให้ดูมืดมนอยู่พิกล อย่างไรก็ตามผมกับพี่ๆทีมงานนั่งพักคุยกันอยู่ครู่หนึ่ง ผมถึงได้เริ่มสำรวจห้องที่ผมจะต้องอยู่ร่วมสองเดือนอย่างจริงจัง

ขอบรรยายลักษณะบ้านเอาไว้หน่อย เผื่อมีใครได้แวะเวียนไปอาจจะได้ลองเช่าอยู่สักคืนสองคืน เพิ่มความตื่นเต้นให้ทริปของท่าน จากหน้าประตูคุณสามารถมองเห็นชั้นบนของบ้านได้ทันที ด้านบนมีบานเลื่อนที่สามารถเปิดและมองลงมาได้เช่นกัน โดยที่ทางขึ้นระหว่างชั้น 1 และ 2 จะมีหิ้งพระเก่าปอนหันออกไปทางประตูหน้าบ้าน บนนั้นมีพวงมาลัยดอกไม้ที่ยังไม่เหี่ยวแห้งมากนัก เป็นร่องรอยว่าน่าจะมีคนนำมาไหว้บูชาไม่นาน ห้องโถงที่นี่จะไม่กว้างนัก ขนาดประมาณ 4 ม. เมื่อผ่านโถงไปจะพบกับครัวเล็กๆ และประตูหลังบ้าน ด้านนอกมีรั้วรอบขอบชิด

ด้านข้างหลังบ้านมีห้องเก็บของขนาดเล็กตั้งอยู่ และเนื่องจากมันไม่ได้ถูกล็อคไว้ ผมจึงลองเปิดดูก็เจอเข้ากับกองผ้าห่มหมอนมุ้ง และหนังสือเก่าๆ ที่เปียกแฉะชื้นอยู่ภายใน ทันทีทีเปิดประตูก็มีกลิ่นเหม็นอับโชยออกมา เลยต้องรีบปิดทิ้งไว้อย่างนั้น จากนั้นผมผมขึ้นไปสำรวจบนชั้น 2 ด้านบนเป็นห้องขนาดเล็กไม่มีอะไรน่าสนใจ จนกระทั่งผมสังเกตเห็นพวงมาลัยดอกไม้เหมือนกับที่หิ้งพระด้านล่าง แขวนไว้บริเวณใต้หน้าต่าง ตอนนั้นผมแค่รู้สึกแปลกใจนิดหน่อยว่าทำไมถึงมีพวงมาลัยอยู่หลายที่ ก่อนที่จะเปิดหน้าต่างออกไปรับลม

อย่างไรก็ตาม คืนแรก…ดูเหมือนจะผ่านไปด้วยดี อาจจะด้วยความเพลียจากการเดินทาง ซ้ำพวกเรายังนั่งสังสรรค์กันจนดึกดื่น ทุกคนจึงแทบเรียกได้ว่าหลับสนิทตลอดคืน แต่นั่นก็เป็นคืนสุดท้ายที่ผมกับน้องจะมีเพื่อนนอนด้วย เพราะวันถัดมาหลังจากที่ทีมงานได้หาลือและบรี๊ฟงานกันเสร็จเรียบร้อยก็เดินทางกลับทันที

คืนที่ 2… ตอนนี้เหลือแค่ผมกับน้องชายที่ต้องอยู่ในบ้านหลังนี้อีกกว่า 2 เดือน คืนนี้ผมยังคงมีอาการแฮงค์ค้างจากเมื่อคืนอยู่ เนื่องจากนอนดึกและดื่มหนัก เลยขอตัวขึ้นไปนอนก่อน ก็ยังไม่มีอะไร จนกระทั่งคืนที่สาม…คืนนั้นน้องชายผมซื้อเครื่องดื่มมอลท์สกัดมาเสียหลายขวด แต่เนื่องจากผมติดธุระคุยโทรศัพท์อยู่ มาเจออีกทีก็พบว่ามันซัดซะเกลี้ยงแล้วก่อนจะขอตัวขึ้นไปนอนทันที ส่วนผมยังไม่นอนแต่อ่านหนังสือเล่นอยู่ข้างบนเช่นกัน

ประมาณตี 2 คืนนั้นเอง จู่ๆน้องชายผมก็สะดุ้งตื่น ลุกพรวดขึ้นมาจากฟูกนอน ผมเลยทักถามไปว่า..เป็นอะไรไป? แต่ไม่มีคำตอบใดๆกลับมา กระทั่งมันเดินออกไปจากห้อง ผมก็ถามขึ้นอีกว่าจะไปไหน? คราวนี้น้องผมตอบกลับมาว่า “จะไปห้องน้ำ” แต่หายไปพักใหญ่ ผมกลับไม่ได้ยินเสียงราดน้ำหรือเสียงจากก๊อกเลย ผมจึงชะโงกมองลงมาจากด้านบน ก็เห็นน้องผมนั่งอยู่ในห้องโถงชั้นล่าง ผมลองเรียกอยู่หลายครั้ง แต่กลับไม่มีคำตอบใดๆกลับมา จนผ่านไปสักพักมันก็เดินกลับขึ้นมาข้างบน โดยไม่พูดจาใดๆก่อนที่จะล้มตัวลงนอนเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ตอนนั้นผมไม่ได้คิดอะไร เข้าใจไปว่าน้องผมมันคงเดินละเมอกระมัง…

วันรุ่งขึ้น ผมเลยมีเรื่องไปแซวน้องมันว่า “เมื่อคืนฟุ้งซ่านเรื่องอะไร ถึงขนาดเดินละเมอลงไปนั่งตากยุงอยู่ด้านล่าง ดึกๆดื่นๆ” แต่คำตอบของมันทำเอาผมเริ่มรู้สึกไม่ค่อยสะบายใจ เพราะมันบอกกับผมว่า… จำอะไรไม่ได้เลย ไม่รู้สึกตัวเลย

กระทั่งคืนที่ 4… คืนนี้ก็เช่นเคย น้องผมยังคงซื้อเครื่องดื่มมานั่งกินคนเดียว กินเสร็จก็เข้านอนทันที และเนื่องจากผมเป็นคนนอนดึก จึงนั่งเล่นเกมไปตามเรื่องตามราวจนดึกดื่น อย่างไรก็ตาม ตอนนั้นผมไม่รู้ว่าดึกแค่ไหน แต่เลยเที่ยงคืนไปแล้วแน่ๆ จู่ๆก็ได้ยินเสียง “ซ่าาา~ซ่าาา~” คล้ายกับเสียงเวลาที่เปิดโทรทัศน์แล้วไม่มีสัญญาณภาพ ดังขึ้นมาจากด้านล่าง แต่มาคิดๆดูแล้ว บ้านเช่าหลังนี้ก็ไม่มีโทรทัศน์นี่นา บางทีคงเป็นเสียงจากข้างบ้านกระมัง

อย่างไรก็ตาม… เสียงที่ว่ามันเริ่มทำให้ผมกระวนกระวายใจ พอที่จะลุกขึ้นมาเดินหาต้นตอของเสียง เพราะเวลาที่นั่งอยู่เฉยๆดูเหมือนเสียงมันจะค่อยๆดังรบกวนขึ้นเรื่อยๆ แต่ปรากฏว่าพอผมพยายามเงี่ยฟังดู เสียงที่ว่ามันเงียบไป พอมองออกไปด้านนอกก็พบว่าไม่มีบ้านหลังใดเลยที่ยังเปิดไฟอยู่ หรือแสดงให้เห็นว่ายังคงมีใครนั่งดูทีวีอยู่ จู่ๆเสียง “ซ่าาา…” ก็ดังขึ้นมาอีก คราวนี้ผมค่อนข้างมั่นใจแล้วว่ามันดังมาจากในบ้านของผม จากห้องโถงด้านล่าง

พอออกมาจากห้อง เสียงชัดเจนขึ้นจนผมบอกได้ว่า เสียง “ซ่าาา..ซ่า…” ที่ได้ยินไม่ใช่เสียงจากทีวี แต่มันเป็นเสียงกระซิบกระซาบของคนคุยกัน แม้ผมจะบอกไม่ได้ว่าเป็นเสียงภาาาอะไร แต่มันไม่ใช่ภาษาไทยที่จะสามารถเข้าใจความหมายทันทีได้ ผมพยายามทำใจดีสู้เสือ ชะโงกหน้าออกไปมองจากด้านบน ก็ไม่พบอะไร แถมเสียงกระซิบกระซาบยังเงียบดับลงไปทันทีอีกด้วย ผมเลยลงไปด้านล่างแล้วไล่เปิดไฟแต่ละจุดที่เดินผ่าน แต่ก็ไม่พบอะไร แถมไม่ได้ยินเสียงที่ว่าด้วย เปิดประตูหน้าบ้านไปดูก็ไม่เจอแสงไฟจากห้องไหนๆ ผมจึงปิดประตูกลับคืนก่อนที่จะเปิดไฟในโถงทิ้งไว้แล้วขึ้นไปนอน

แต่หลังจากผมขึ้นมานอนได้สักพัก เสียงเดิมก็มาอีก… กระซิบกระซาบดังระงมมาจากข้างล่าง และชัดกว่าทุกครั้ง ถึงจุดนี้จากการที่ผมได้ลงไปสำรวจข้างล่างมาทุกซอกทุกมุม ผมเชื่อว่าน่าจะ “เจอ” เข้าให้แล้วล่ะ เลยตัดสินใจซุกตัวอยู่ใต้ผ้าห่มข่มตานอนให้หลับ แต่ไม่นานจากนั้นจู่ๆไฟก็ดับพรึ่บ! ห้องที่เคยเปิดไฟทิ้งไว้ก็จมอยู่ใต้ความมืดโดยพลัน เสียงกระซิบกระซาบมันก็ดังขึ้นเรื่อยๆ ไม่สิ…บางทีมันอาจจะดังเท่าเดิม แต่เสียงมันอาจใกล้เข้ามาเรื่อยๆก็ได้ ผมนึกถึงบทสวดที่อยู่ในหัวออกมาพึมพำบทแล้วบทเล่า จะถูกจะผิดมากน้อยก็ไม่ทราบได้

น่าแปลกใจอยู่เหมือนกัน ที่ปกติผมแทบไม่ได้สวดมนต์เลย แต่ในเวลาสำคัญเช่นนี้ กลับมีบทสวดไหลออกมาเข้าปากบทแล้วบทเล่า คงเข้าทำนองที่เขาว่าในวินาทีสุดท้ายของชีวิต คนเราจะมองเห็นภาพในอดีต เพราะสมองพยายามข้ามขีดจำกัดแล้ว “ค้นหา” เอาความทรงจำเก่าๆออกมาเพื่อใช้ในการหาทางรอดชีวิต ดูเหมือนเสียงที่ว่าจะหยุดอยู่เพียงบริเวณหน้าประตู หลังจากนั้นผมก็นึกถึงแม่ที่เสียไปแล้ว อธิษฐานขอให้ช่วยลูกด้วย กระทั่งก็อยู่รอดมาจนฟ้าสาง เสียงก็หายไปตอนที่ผมไม่ทันได้สังเกต ดูนาฬิกาก็พบว่าตี 5 กว่าแล้ว

เช้าวันนั้นเอง ระหว่างที่ทานข้าวกันกับทางทีมงานที่มารับไป ผมก็เปิดหัวข้อสนทนาในเรื่องนี้ขึ้นกลางวงอาหารอย่างไม่อาย กระมั่งน้องผมมันก็สมทบขึ้นมาว่า “ผมเจอตั้งแต่คืนที่ 2 ที่พี่ขึ้นไปนอนก่อนแล้ว” มันเล่าว่าตอนที่มันตามขึ้นไปนอน ระหว่างที่ครึ่งหลับครึ่งตื่นก็รู้สึกว่ามีใครบางคนมานั่งทับ แบบที่เขาเรียกว่า “ผีอำ” นั่นแหละ กระดิกตัวไม่ได้เลย ทำได้แค่หันหน้ามาทางผม แต่ไม่ส่าจะเรียกยังไง…ผมก็ไม่ได้ยิน นั่นเลยเป็นสาเหตุให้หลังจากนั้น น้องผมเลยรีบดื่มให้เมาเพื่อที่จะได้นอนหลับไวๆ

คราวนี้หนึ่งในทีมงานที่เป็นหัวหน้าก็เล่าให้ฟังว่า ความจริงเขาก็เคยเจอมาก่อนแล้วทั้งนั้น เมื่อก่อนแกเคยไปนอนกลางวันที่บ้านหลังนั้น ก็รู้สึกว่ามีใครบางคนมาเดินวนไปวนมารอบๆตัว เลยไม่กล้าไปนอนอีกเลย จากนั้นก็มีคนงานเคยมานอนไม่นานมานี้ เจอเงาคนเดินเพ่นพ่านไปมาบนทางเดินด้านบน เลยต้องเอาพวงมาลัยมาขอขมาลาโทษ ก่อนที่จะย้ายออกไป ซึ่งพวงมาลัยที่เหลือไว้ให้ดูต่างหน้าก็มีที่มา อย่างนี้นี่เอง

มาถึงจุดนี้หัวหน้าก็เห็นใจแบะถามว่า จะเอายังดี จะย้ายไหม จะได้หาที่อยู่ใหม่ให้ ผมกับน้องก็ตอบเป็นเสียงประสานโดยพร้อมเพรียงทันทีว่า “ไม่ไหวสุดๆเลยครับ !!” อย่างไรก็ตามเย็นวันนั้นผมกับน้องยังคงต้องนอนที่นั่นอีกคืน เลยพากันไปซื้อดอกไม้ธูปเทียนมาจุดไหว้เจ้าที่เจ้าทาง เจ้ากรรมนายเวร ขอขมาลาโทษที่เข้ามาโดยไม่บอกกล่าวกันไป ทำให้คืนนั้นก็ผ่านมาได้แบบเรียบร้อย กระทั่งได้ย้ายไปบ้านหลังใหม่ในวันถัดมา…ซึ่งไม่รุ้ว่าโชคดีหรือโชคร้าย ที่ย้ายคราวนี้ก็ไม่พ้นต้องเจอกับสิ่งน่ากลัวอีก แม้คราวนี้ไม่ใช่ผีแต่มันคือ “ตุ๊กแกไซส์ยักษ์” สีสันฉูดฉาดสลับลายพร้อยไปทั้งตัว จนผมอดตั้งชื่อให้มันไม่ได้ว่า “น้องสลิ่ม” เรียกว่ามาสมุยคราวนี้ หนีผีปะตุ๊กแกก็ไม่ผิดนัก! และนี่ก็คือเรื่องราวทั้งหมด

ขอบคุณที่มา : postjung แชร์ประสบการณ์หลอนบ้านเช่เกาะสมุย

อ่านเรื่องเล่า เรื่องผีพันทิป เรื่องอื่นๆ >> คลิก

กลับสู่หน้าแรก สยองสแควร์

Admin

23/02/2020

อ่านเรื่องผี | ประสบการณ์หลอน สำรวจบ้านร้าง จ.ศรีสะเกษ

หากใครอยากอ่านเรื่องผีที่เกี่ยวกับประสบการณ์เข้าไปลองของสำรวจบ้านร้าง เรื่องนี้คงตรงใจหลายคนอยู่ไม่น้อย เรื่องเล่าผีที่ว่านี้มาจากสมาชิกเฟสบุ๊คคนหนึ่งชื่อ คุณตุ่น ที่น_มาเผยให้ฟังว่าได้ฟังมาจากญาติสนิทที่ชื่อพี่โจ ซึ่งอาศัยอยู่ที่จังหวัดศรีสะเกษเหมือนกัน แต่คนละอำเภอ ในช่วงอายุนั้นเป็นวัยที่กำลังอยากรู้อยากเห็น มีความขบถ และคึกคะนองตามปรเสาวัยร้อน อีกทั้งพี่โจเองเป็นคนที่ไม่เชื่อ ไม่กลัวเรื่องผี…

อ่านเรื่องผี “คำบอกเล่าจากวัยรุ่นที่เข้าไปลองของในบ้านร้าง”

พี่โจกับกลุ่มเพื่อนมักจะตระเวนกันไป “ลองของ” ท้าพิสูจน์รีเทิร์นกันตามสถานที่รกร้างไร้ผู้คนอยู่อาศัย จนกระทั่งมาถึงคราวของบ้านหลังหนึ่งซึ่งไม่ไกลจากบ้านของพี่โจนัก มันถุกปล่อยทิ้งจนรกร้างมานานหลายปี ไม่มีวี่แววของคนที่จะเข้ามาปรับปรุงหรือดูแลอะไร สภาพภายนอกจึงเต็มไปด้วลเถาวัลย์โยงใยไปทั่ว และนี่เองเป็นสถานที่หมายตาให้พี่โจกับเพื่อนอีกคนหนึ่ง ได้เข้าไปสำรวจแอดเวนเจอร์กัน

บ่ายแก่ๆที่ร้อนระอุของวันหนึ่ง พี่โจกับเพื่อนพยายามช่วยกันหาทางเข้าไปในบ้านหลังที่ว่า กว่าจะเจอหน้าต่างที่เข้าไปได้ก็เล่นเอาเหนื่อย เนื่องจากรอบตัวบ้านประตูทางเข้าถูกปิดตายสนิทหมด หลังจากเข้าไปก็พบว่าบ้านหลังนี้ดูจะมีอายุอานามพอสมควร สังเกตจากข้าวของเครื่องใช้จำพวกงานกระเบื้องเคลือบโบราณ นอกจากนี้จะพบกับเฟอร์นิเจอร์ต่างๆครบครัน ราวกับถูกหยุดเวลาเอาไว้นับตั้งแต่บ้านหลังนี้ถูกปิดตายไป มีเพียงวั่นหนาและหยากไหย่ที่ขึ้นปกคลุมให้ดูรู้ว่า ไม่มีคนเข้ามาใช้เป็นเวลานาน

หลังจากสำรวจชั้นล่างกันทั่ว พี่โจเดินนำขึ้นไปบนชั้น 2 แต่ไม่ทันไรพี่โจก็รีบวิ่งตาตั้งกลับลงมา เพื่อนถามก็ได้ความว่าตนไปเจอเข้ากับตุ๊กตาประหลาด ลักษณะเหมือนเด็กทารก แม้ว่าพี่โจจะเป็นคนห้าวหาญเพียงใด แต่ก็คงจะมีจุดอ่อนอยู่บ้าง ในกรณีนี้ตุ๊กตาในที่ๆไม่คาดคิดก็ทำให้เขาออกอาการได้ เพื่อนที่ไปด้วยจึงอาสาเดินนำขึ้นไปเคลียร์ทางให้ก่อน

กระทั่งสำรวจชั้น 2 กันไปทั่วบริเวณ ก็มาเจอเข้ากับตู้โบราณใบใหญ่ใบหนึ่ง มันก็ชวนให้สู่รู้เป็นอย่างยิ่งว่าข้างในจะมีอะไรสนุกๆให้ได้ค้นหาหรือไม่ แม้ว่าตู้ใบนั้นจะถูกเตียงนอนตั้งขวางทางไว้ แต่คนทั้งคู่ก็เข้าไปช่วยกันลากเตียงออกมา แต่ในจังหวะนั้นเอง…ก็มีบางอย่างโผล่ออกมาจากเงามืดหลังเตียง จู่ๆก็มีใครก็ไม่รู้เป็นผู้ชายแต่งตัวแปลกๆ(ในสายตาของทั้งสองคน)โผล่ออกมา! ท่ามกลางบ้านร้างกลางวันแสกๆ ดูยังไงก็ไม่น่าใช่พ่อบ้านมาทำความสะอาดแน่ๆ เพราะพอมองต่ำลงไปที่ขากลับไม่มีช่วงล่างที่ยึดกับพื้นอยู่เลย… ประมาณว่าลอยๆอยู่เหนือพื้น พอหันขึ้นมามองดูหน้าชัดๆ ก็พบว่าดูเบลอๆ

ยังไม่ทันมีเวลาให้พี่โจกับเพื่อนได้กรี๊ดสนั่นคาบ้าน ก็มีผู้หญิงอปลกหน้าอีกหนึ่งตามเข้ามาสมทบ อย่างไรก็ตามเธอมีขาครบสมบูรณ์ปกติดี หน้าตาก็ดูเป็นผู้เป็นคน…หากแต่กลับมีเบ้าตาที่ลึกโบ๋เข้าไปไกลสุดอ้างว้าง ต่างจ้องมองมาทางพี่โจกับเพื่อนเหมือนกับแมวเห็นชิ้นปลามัน ส่วนพี่โจกับเพื่อนก็รู้สึกเหมือนแมวขโมยที่ย่องขึ้นบ้านคนอื่นแล้วถูกจับได้คาหนังคาเขา เพื่อนที่มาด้วยกันถึงกับ “เข่าทรุด” ลงไปนั่งสั่นเป็นเจ้าประทับทรงอยู่กับพื้น เต้นเร่าๆอยู่แบบนั้น ขณะที่พี่โจยังพยายามคุมสถานการณ์ด้วยการ “เบิ๊ดกะโหลก” เรียกสติเพื่อนกลับมา หลังส่งซิกให้กันคนทั้งคู่ก็ใส่เกียร์หมาวิ่งจ้ำอ้าวพุ่งทะลุหน้าน่างจากชั้น 2 ออกมายังกับหนังแอ็คชั่น พอลงมาได้ในสภาพสะบักสถบอมก็ยังคงลุกขึ้นมาวิ่งต่อแบบไม่ต้องหันกลับไปดูข้างหลัง เนื่องจากยังรู้สึกเย็นเยียบราวกับมีใครจ้องมองแล้วตามมาติดๆ

หลังจากวันนั้นปรากฎว่ายังมี “เอนด์เครดิต” ตบท้ายอีกหน่อย คือพี่โจดันหยิบธนบัตรเก่าในบ้านหลังนั้นติดมือมาด้วย พี่โจเอาให้พ่อดู พ่อพี่โจก็เอาไปขายให้คนสะสมของเก่า ปรากฎว่าเหตุการณ์ผ่านไปยังไม่ครบเดือน ขณะกลับบ้านในวันหนี่ง พ่อพี่โจก็ไปขับรถเสียหลักชนเข้ากับรั้วบ้านอาถรรพ์ที่ว่านั่น จนต้องนอนอยู่โรงพยาบาลในอ.เมืองอยู่นาน อาการไม่สู้ดี ก็รักษาประคับประคองตามอาการไป จนในที่สุดปีถัดมาพ่อพี่โจก็จากไป อย่างไรก็ตามไม่ทราบได้ว่าเหตุการณ์นี้เกี่ยวข้องกับแบงค์โบราณหรือการเข้าไปสำรวจบ้านร้างหรือไม่ มันก็ทำให้พี่โจกลัวจนไม่กล้าเดินผ่านซอยที่มีบ้านนร้างตั้งอยู่อีกเลย…

ขอบคุณที่มาเรื่องเล่าผี : เพจ FB the house online

อ่านเรื่องผีน่ากลัว เรื่องอื่นๆ >> กดที่นี่

กลับสู่หน้าแรก สยองสแควร์

Admin

07/01/2020

ซื้อบ้านจากสัปเหร่อ.. โดยไม่รู้ว่าฝาบ้านรีไซเคิลจากฝาโลงศพ

เรื่องนี้มาจากมีแขกรับเชิญรายหนึ่ง โทรมาเล่าเรื่องบ้านของตนในรายการ “อังคารเช็คดวง” (วันที่ 28 ส.ค. และ 4 ก.ย. 61) ของคุณมดดำ ซึ่งเรื่องนี้ก็สร้างความตื่นตกใจกันทั้งสตูดิโอ กับความเฮี้ยนและราคาที่ที่ได้ซื้อมา

อ่านเรื่องผี…บ้านพร้อมที่ดินจ.สระแก้ว 15 ไร่ ราคาแค่ 8หมื่น! แต่ไม่รู้ว่าอาถรรพ์แรงมาก

เจ้าของเรื่องเริ่มต้นว่า… พื้นเพอยู่สระแก้วอยู่แล้ว และคุณแม่ได้ไปซื้อที่ดินมารวม 15 ไร่ ในราคาเพียงแค่ 8 หมื่นบาท!! แถมยังมีบ้านที่ปลูกไว้อีกหลัง เรื่องนี้ดูเหมือนจะเป็นความโชคดีมาก เพราะปัจจุบันพื้นที่ในจ.สระแก้วราคาแพงขึ้นมากเนื่องจากถูกประกาศให้เป็นเขตเศรษฐกิจพิเศษ หากแต่ถ้าไม่มี “ของแถม” ที่ไม่พึงประสงค์มาด้วยเพียบ โดยซื้อมาเมื่อไม่นานมาก ราวๆ 8 ปีที่แล้ว ตกไร่ละไม่ถึง 8 พันบาทเท่านั้น

ความน่ากลัวเริ่มขึ้น คุณแม่ไม่รู้มาก่อนว่าเจ้าของเดิมเป็นใครทำอะไรมาก่อน มารู้ภายหลังว่าบ้านหลังนี้เป็นบ้านของสัปเหร่อ เรื่องเกิดตั้งแต่เจ้าของเรื่องอายุได้ 15-16 ปี เดิมทีครอบครัวถือว่ามีฐานะ และอบอุ่น แต่เมื่อเข้าไปอยู่บ้านหลังนี้

เดิมทีบ้านหลังนี้ซื้อมาตั้งใจจะให้เช่า แต่พอซื้อมาแล้วคุณแม่กลับตัดสินใจจะเข้าไปอยู่เอง บ้านหลังนี้เป็น 2 ชั้น มี 3 ห้องนอน แต่ผนังฝาบ้านดูแปลกๆ คือจะมีไม้บางอย่างบุไว้ คนเฒ่าคนแกบอกว่า มันคือไม้ฝาโลง! ตอนแม่ซื้อไม่ได้ปรึกษาใครเลย ทั้งๆที่ในซอยนั้นก็มีประวัติเด็กฅาย เด็กหายอยู่บ่อยๆ ซึ่งปัจจุบันซอยนั้นก็มีบ้านเพียง 3 หลังเท่านั้นที่ยังอยู่กันได้

เหตุการณ์แปลกๆ คืนแรกที่ไปนอนก็เจอเลย เจ้าของเรื่องเล่าว่า ตนขึ้นไปนอนบนบ้านชั้นบนอยู่ดีๆ พอมองขึ้นไปบนขื่อ ก็เจอผู้หญิงผมยาวห้อยหัวลงมา! เรียกว่าเห็นจังๆกับตา ตนเลยร้องดังลั่น คุณแม่กับพ่อก็มาถามว่าเห็นอะไร แต่ก็ไม่มีคนเชื่อในตอนนั้น ตอนเช้าไปดูเสาตะเคียนกลางบ้านและขื่อนั้น ก็พบว่ามีน้ำมันไหลออกมา เลยจะหาผ้า 7 สีมาผูก แต่แม่ก็ไม่เห็นด้วยที่จะทำอะไรโดยที่ไม่รู้ชัด

ในขณะที่เล่าในรายการ หมอดูที่รับเชิญมาในสตูดิโอทักว่า… ในบ้านหลังนี้ยังมีวิญญาณผู้ชายที่เฮี้ยนกว่าอีก ซึ่งตรงกับคำให้การผู้เล่าว่า เคยนอนๆอยู่แล้วมีอาการเหมือนถูกข่นขืม! โดยผีผู้ชาย อาการคือจะกึ่งหลับกึ่งตื่น แล้วเหมือนมีคนมาหายใจแผ่วๆบริเวณหู หรือซอกคอ ซึ่งก็อธิบายไม่ได้ อาจเป็นเพราะเหนื่อยล้าไปเองก็ไม่ทราบ ตนก็จะอธิษฐานถึงสิ่งศักดิ์สิทธิ์แล้วก็จะหลุดออกมาได้ และเคยถูกเสียงเรียกอยู่บ่อยๆ แต่ตนทำเป็นไม่สนใจ บ้างก็มีครั้งนึงเคยขึ้นไปนอนชั้นบน ก็เคยเจอผู้ชายนุ่งโจงกะเบน กับนุ่งชุดขาว

มีเหตุการณ์ที่น้องสาวเคยละเมอ เดินลงบันไดมาเอง ซึ่งอันที่จริงไม่มีสติ น่าจะตกบันไดไปแล้ว เป็นอยู่ปีกว่าๆ จนแม่ทนไม่ไหวจะพาไปหาหมอรักษา แต่มีคนทักว่าอาจถูกผีเรียกหรือสิงออกไปหา ให้ระวัง แล้วครั้งหนึ่งแม่ก็เคยได้ยินเสียงผู้หญิงร้องไห้อยู่หน้าบ้าน หลังจากสอบถามบ้านที่อยู่แถวนั้นได้ความว่า เคยได้ยินเช่นกันอยู่เป็นประจำ จนทำให้แม่เริ่มเชื่อ และคิดว่าอาจเกี่ยวกับเรื่องนี้ก็ได้

ซึ่งทางหมอดูในสตูฯได้ทักถามอีกว่า น้องจะไม่เคยเดินละเมอออกไปถึงหน้าบ้านเลยใช่มั้ย? คำตอบจากเจ้าของเรื่องคือ..ใช่ โดยหมอดูอธิบายเสริมว่า เป็นเพราะเจ้าที่ของบ้านยังดีอยู่ เลยช่วยเหลือ รั้งไว้ไม่ให้น้องออกไปตามเสียงเรียกของผู้หญิง หากออกไปคงไม่รอด…

ภาพรวมคือหลังเข้าไปอยู่แต่ละคนก็เริ่มเปลี่ยนไป คุณพ่อกลายเป็นละคน จากคนไม่กินเหล้า ก็ติดเหล้า

ครั้งนึงมีคนมาขุดหาหน่อไม้ในบริเวณพื้นที่บ้าน แล้วไปเจอห่อผ้าขาวถูกฝังอยู่ในดิน ภายในนั้นเป็นกระดูกศผเด็ก! ทีแรกแม่คิดไปว่าอาจจะเป็นญาติพี่น้องของเจ้าของเดิม แต่พอเจอห่อที่ 2 ห่อที่ 3 อีก..ก็เริ่มคิดว่ามันไม่ใช่ละ เลยนำกุมารมาตั้งในบ้านเพื่อจะได้บูชาเด็กเหล่านั้น

แต่พ่อเป็นคนไม่เชื่อเรื่องพวกนี้ ครั้งนึงพ่อเคยพูดลบหลู่หรือท้าทายอะไรสักอย่าง หลังขับรถออกไปก็เจออุบัติเหตุ ปากแตกจนพูดไม่ได้เลยทีเดียว

ครั้งนึงแม่เคยนำพระมาตั้งศาลพระภูมิ ปรากฎว่าศาลพระภูมิก็หัก แม่เลยทำการรื้อไม้ฝาโรงที่ผนังบ้านออก รวมทั้งทำลายจอมปลวกที่อยู่กลางบ้าน ในวันนั้นหลังเจ้าของเรื่องเลิกโรงเรียน ก็รู้สึกเหมือนมีคนมะสกิดมาเรียกให้รีบกลับบ้าน ปรากฏว่าบ้านไฟไหม้บริเวณหลังบ้าน เลยเรียกเพื่อนบ้านที่มีเพียง 3 หลังให้มาช่วยได้ทัน

พ่อเคยทรุดหนักไปเฉยๆ ตัวเหลือง จนต้องไปนอนโรงบาลจากอาการไตวายเฉียบพลันอยู่เป็นเดือน จนคิดว่าไม่รอดแล้ว ปั๊มหัวใจอยู่ 3 ครั้ง แต่ในครั้งสุดท้ายนั้นเองที่พ่อฟื้นกลับมา

มีครั้งหนึ่งที่ตนโดนกับตัวเองอย่างจัง มีคนทักว่าตนดูแปลกไป สงสัยว่าจะโดนของ ซึ่งมาคิดดูภายหลังตนไม่แน่ใจว่าไปโดนหรือไปเหยียบของจากตรงไหน คุณแม่ก็เลยพาไปรดน้ำมนต์ที่วัด

แต่ทันทีที่ถูกน้ำก็กรีดร้อง ซึ่งตนก็รู้ตัวในขณะนั้น ว่าพระใช้บางอย่างคล้ายหอกในการขับไล่ ยิ่งไล่ตนก็ยิ่งร้อง พระบอกว่า…บางอย่างในตัวนั้นมันสู้ มันขัดขืน เลยแนะนำให้ไปหาอาจารย์ท่านนึงช่วยไว้ โดยบอกให้เข้าใจตรงกันว่า ไม่สามารถทำให้หายได้ เพียงแต่บรรเทาเรื่องร้ายๆไปบ้าง ยังต้องผัวผันกันอยู่ มันเป็นส่วนหนึ่งของกรรม ซึ่งตนเองก็ถึงกับเคยถูกรถชนจนปลิว แต่โชคดีที่ก็ยังรอดมาได้

จากนั้นมาตนจะมีความรู้สึกบางอย่าง ที่มักจะฝันเห็นเหตุการณ์ล่วงหน้า ตนมีแฟนอยู่และหลังจากย้ายเข้าไปเป็นสะใภ้ ปรากฎว่าญาติในบ้านสามีก็ฅายโหงถึง 3 ราย! แม้ไม่รู้ว่าจะเกี่ยวข้องกันหรือไม่ แต่ตนก็เคยฝันเห็นหรือมีลางว่า จะเกิดอุบัติเหตุกับคนเหล่านั้น และเคยบอกสามีไปให้เตือนว่าให้มีสติ หลังเกิดเรื่องต่างๆขึ้น มันทำให้ตนกลัวว่าจะเกิดเรื่องไม่ดีกับสามีขึ้นเช่นกัน เป็นสิ่งที่กังวลใจมากที่สุด ตนมักจะฝันเห็นมีคนมาเตือนเรื่องต่างๆ เช่น อย่าใส่เสื้อผิดสี หรือผิดด้าน เพราะจะทำให้ถูกสิ่งไม่ดีตาม

ตามความเห็นของหมอดูบอกว่า สิ่งที่อยู่ในบ้านคืออวิชชาที่ถูกสะกดเก็บไว้จากเจ้าของเดิม ซึ่งเขาไปแต่ตัวของยังคงอยู่ เท่าที่เห็นคือเจ้าของเดิมมีปัญหาด้านสุขภาพที่เริ่มไม่ไหว และทางญาติเขาก็ไม่เอา ก็เลยต้องขาย ซึ่งยังเห็นอีกว่ามีเด็กอยู่นอกบริเวณบ้านอีกเยอะ อย่างน้อยๆคือ 9-12 ไม่ใช่แค่ 3

ซึ่งพวกเด็กมักจะมาเล่นหรือมาให้ลาภ เวลาการเงินฝืดๆมักจะได้ลาภลอยแต่จะเป็นเงินร้อน คือได้ไวหมดไว ซึ่งผู้เล่าก็ยืนยันว่าคุณแม่ถูกหวยบ่อย มากบ้างน้อยบ้าง ถูกบ่อยจนคนในละแวกนั้นรู้ข่าวก็ซื้อน้ำแดงมาถวายเพื่อขอเลขเด็ด

หมอดูยังบอกอีกว่าบ้านหลังนี้คู่รักจะอยู่ไม่ได้ บ้านจะลุกเป็นไฟ ทางเจ้าของเรื่องก็เล่าว่า ตอนตนอายุ18-19 จู่ๆคุณแม่ก็เลิกกับพ่อ ทั้งๆที่อยู่มาไม่มีเคยมีปัญหามาตลอด และแม่ก็ออกจากบ้านไป หมอดูเสริมอีกว่า…ให้คุณแม่ระวังสุขภาพไว้ เพราะว่าการที่แม่ถูกหวยบ่อยๆ และสัญญาว่าจะนำของมาถวาย ถึงแม้จะออกไปจากบ้านแล้ว แต่ยังมีกรรมผูกพัน จะถูกกินผลบุญไปเรื่อยๆ เจ้าของเรื่องบอกว่า..แม่เคยโทรมาเล่าว่าปัจจุบันแม่เป็นมะเร็งปากมดลูก

ตอนนี้พ่อกลายเป็นคนเก็บตัว และโมโหร้าย ทั้งๆที่เคยรักและเป็นห่วงลูกๆ พ่อจะทะเลาะกับน้องชายเป็นประจำ

แต่หลังจากนั้นก็ยังเกิดเรื่องขึ้นอีก เคยมีหลานชายไปขอนอนที่บ้านหลังนั้น ซึ่งก็ไปเป็นครั้งแรก โดยตนได้ไปเปิดห้องห้องหนึ่งให้ ห้องที่โดยปกติคุณพ่อจะปิดอยู่ตลอด ด้านเป็นห้องพระ และกุมารต่างๆ แล้วหลังจากนั้น 1 อาทิตย์ก็เจออุบัฅิเหตุ ฅายคาที่!

ปัจจุบันตนไม่ได้อยู่ในบ้านนั้นกับพ่อและน้อง แต่เมื่อกลับไปที่บ้าน อยู่ดีๆก็แท้งค์ลูก หมอดูบอกว่าไม่ควรให้ใครเข้าไปใกล้หรือข้องเกี่ยว

ทางแก้ไขหมอดูบอกว่าเป็นเรื่องยาก ในใต้เสาที่มีน้ำมันตก เชื่อว่ามีกระดูกหลากหลายที่ถูกฝังอยู่อีก นอกเหนือจากเด็ก รวมทั้งผีฅายทั้งกรม ทำได้เพียงหมั่นทำบุญบ้าน ทำกุศลเผื่อแผ่โดยห้ามใช้วิธีไล่ หรือปัดรังควาญ ไม่สามารถไล่ได้เพราะพื้นที่กว้าง ซึ่งที่ผ่านมาไม่เคยทำบุญเลย

หมอดูบอกอีกว่าทางแก้ที่สำคัญอีกอย่างคือเจ้าของเดิม เพราะเป็นคนที่รู้ดีสุดว่าฝังอะไรไว้ตรงไหน แต่ก็ไม่ทราบได้ว่าปัจจุบันไปอยู่ที่ไหน

สืบสายมาภายหลังว่าที่ดินบริเวณดังกล่าวเคยเป็นสนามรบเขมรแดง ซึ่งเต็มไปด้วยศผผีฅายโหง และบ้านที่อยู่กันได้ก็ล้วนแต่เป็นคนเล่นของ เป็นอีกหนึ่งสาเหตุที่เจ้าของเดิมขายที่ดินตรงนี้และย้ายไป เพราะของทับกัน

ปัจจุบันมีคนเข้ามาติดต่อซื้อ ประเมิณมูลค่าแล้วหลายล้านบาท ซึ่งหากหาทางแก้ไขได้ ก็ถือว่ายิ่งกว่าถูกหวย!

เข้าไปติดตามเรื่องราวเต็มๆกันต่อได้ที่ Youtube Chanel : Atimeonline รายการ อังคารเช็คดวง

อ่านเรื่องผีจากพันทิป เรื่องอื่นๆ >> คลิก

กลับสู่หน้าแรก สยองสแควร์

Admin

29/11/2019

อ่านเรื่องผี : ปอบแม่ชี ที่ตระเวนกินผู้ชายเป็นอาหาร!

เคยได้ยินเรื่องปอบในคราบนักบุญหรือไม่? เราขอชวน… อ่านเรื่องผี “ปอบแม่ชี” เรื่องราวในวันเก่าวัยเด็ก เมื่อรุ่นพี่ท้าให้รุ่นน้องเข้าไปสำรวจพื้นที่ป่ายูคาฯหลังโรงเรียนเก่า โดยแลกกับรางวัลถึงห้าร้อยบาท! มันจะยากอะไรกันกะอีแค่เดินเข้าไป แต่ตอนนั้นเขากับเพื่อนอีกสองคนไม่รู้ตัวเลยว่า ห้าร้อยนั้นคือค่าแรงที่ตนต้องวิ่งหนีหัวซุกหัวซุนจากบางอย่างที่น่ากลัวในป่านั้น…

อ่านเรื่องผี – ปอบในคราบแม่ชีใบ้หวย!

เรื่องเล่าผี เรื่องนี้มาจากสมาชิกเฟสบุ๊คชื่อ “คุณปาง” คุณปางเล่าว่าสมัยตัวเองยังเล็กราว 17 ปีที่แล้ว ได้อาศัยอยู่กับคุณย่าในหมู่บ้านแห่งหนึ่งที่จ.มหาสารคาม ในช่วงเย็นคุณปางก็จะออกมาเตะบอลเล่นกับเพื่อนๆในละแวกทุกวัน

เรื่องมีอยู่ว่า…เย็นวันนั้นหลังจากที่เล่นกันจนเหงื่อโทรมกาย ก็ได้พากันไปซื้อของกินที่ร้านขายของชำ แต่แล้วก็มี 3 คนในนั้นซึ่งอายุมากกว่าเขา ถือเป็นรุ่นพี่ของคุณปางเกิดนึกคึกคะนองอย่างไรไม่ทราบ กลับซื้อเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ติดมาด้วย พอดื่มได้ซักพักจนกระทั่งเมา ก็นึกพิเรนทร์เขียนชื่อตัวเองลงบนขวดที่ว่า แล้วพูดท้าทายเพื่อนในกลุ่มว่า

“ใครกล้าเอาขวดนี้ไปวางใต้ต้นฉำฉาหลังโรงเรียนเก่า เดี๋ยวให้ตังค์ 500”

ทีแรกดูเหมือนไม่มีใครปริปากรับคำออกมา กระทั่งคุณปางเองนึกสนุกและเกลี้ยกล่อมเพื่อนๆ เนื่องจากเงิน 500 บาทนั้นถือว่าเยอะทีเดียว หลังตกปากรับคำ รุ่นพี่ก็ควักแบ็งค์ 500 บาทออกมาโชว์

“พวกเอ็งเอาขวดไปวางไว้ซะ เสร็จแล้วก็กลับมาเอา…อ่อ นี่ตังค์ พรุ่งนี้เดี๋ยวจะไปดูผลงาน”

โรงเรียนเก่าที่ว่านั้นอยู่ไกลออกไปราว 1 กม. โดยที่จะมีสวนยูคาฯอยู่ท้ายโรงเรียน และหากเดินตัดซอยเล็กๆเข้าไปในสวนจะเจอต้นฉำฉาที่ว่าตั้งอยู่สุดซอย

ในเย็นวันนั้นนั้นเอง คุณปางกับเพื่อนได้ขี่รถเครื่องไปหลังโรงเรียนเก่าเข้าไปในซอย ผ่านดงต้นยูคาฯที่ขึ้นเป็นแนวอยู่เต็ม จนบังแสงแดดยามเย็นที่ก็น้อยอยู่แล้วกระทั่งแทบไม่ลอดออกมา ยอมรับว่าตอนนั้นไม่ได้คิดถึงเรื่องผีๆเลยสักนิด แม้บรรยากาศจะวังเวง และในที่สุดก็เห็นต้นฉำฉาเจ้าปัญหาอยู่ห่างออกไปไม่ไกล แต่จำต้องจอดรถเครื่องไว้แล้วเดินไป เนื่องจากทางข้างหน้าเป็นโคลนดิน ตอนนนเองที่ได้รู้สึกว่า…เส้นทางนี้ช่างเงียบสงัดจนชวนให้รู้สึกวังเวง อย่าว่าแต่เสียงนกเสียงกา แมลงซักตัวยังไม่มี

ขณะที่เดินไปยังต้นฉำฉานั่นเอง ทุกคนได้ยินเสียงแหวกหญ้าคล้ายมีคนเดินเข้ามาดังสวบสาบ ทั้งกลุ่มหันไปมองหาต้นเสียง แต่กลับไม่พบอะไร จนกระทั่งเข้าใกล้โคนต้นไม้หยิบขวดออกมา ทันใดนั้นก็มีเสียงเดินแหวกหญ้าดังขึ้นอีก พร้อมกับเสียงกิ่งไม้หักดังเป๊าะ พร้อมกับเสียงคนแว่วมาไกลๆ

“พวกเอ็งมาทำอะไรกัน!!”

เสียงเหมือนหญิงมีอายุแว่วมาตามลม ดูมีอารมณ์อยู่ในที หากแต่หันไปมองหาก็ไม่พบ จนสักครู่หนึ่งต้นเสียงที่ว่าก็ออกมาปรากฏตัวหลังเสียงแหวกใบหญ้าหยุดลง เจ้าของเสียงที่ว่าคือแม่ชีอายุราว 70 ร่างผอม ศีรษะมีผมสีขาวโพลนขึ้นประปราย แต่สิ่งที่ทำให้ทั้งคณะยืนขาสั่นทันทีที่เห็นไม่ใช่เพราะกลัวถูกดุด่า หากแต่เป็นนัยน์ตาของแม่ชีที่เบิกโพลงออกกว้างราวสัตว์ป่า รูม่านตาที่ขยายออกเป็นวงรียังกับผีดิบ จ้องมองมาทางนี้แล้วกระซิบกระซาบด้วยน้ำเสียงชวนขนลุก

“พวกเอ็งมาทำอะไรกัน…อยากมาอยู่ด้วยกันเหรอ~”

สิ้นคำพูดนั้น คุณปางติดตีนหมาวิ่งนำออกไปก่อน โดยที่มีเพื่อนอีกสองคนวิ่งตามกลับออกไปทางเดิม แล้วทิ้งรถเครื่องเอาไว้อย่างไม่ใยดี

กระทั่งวิ่งจนหอบ เลยตั้งนั่งพักที่หน้าซอยทางเข้าสวนหลังโรงเรียน เนื่องจากชะล่าใจว่าห่างออกมาไหลแล้ว พลางคิดหาคำตอบว่าสิ่งที่พบเจอคืออะไร… ณ วันนั้นมันกลัวจริงๆ (แน่นอนหากคุณ อ่านเรื่องผี นี้จนจบจะรู้เอง!) แต่ยังนั่งไม่ทันจะหายเหนื่อยดี คุณปางหันกลับไปดูทางป่ายูคาฯซึ่งขึ้นสูงเรียงกันราวกับเป็นกำแพงพิศวง แล้วก็ต้องตกใจแทบลืมหายใจ เมื่อเห็นยายแม่ชีคนเมื่อกี้ ยืนแอบอยู่ด้านหลังต้นยูคาฯต้นหนึ่งในดงของมัน แล้วโผล่เฉพาะท่อนบนออกมาสอดส่องสายตา พร้อมแสยะยิ้มน่ากลัวมาทางพวกเขา

“เห้ย! นี่ยังหนีไม่พ้นอีกเรอะ”

โดยไม่ทันต้องคิดให้ยุ่งยาก ขาคุณปางกระโดดโหยงแล้วออกวิ่งต่อไปทันทีอย่างอัตโนมัติ ส่วนเพื่อนอีกสองคนก็คงตามมาติดๆ แม้คุณปรางไม่แม้แต่คิดจะหันกลับไปมอง แต่ได้ยินเสียงร้องตะโกนโหวกเหวกดังไล่หลังมาทันที จนกระทั่งมารวมตัวเล่าเรื่องผีที่พึ่งไปเจอมากันที่บ้านคุณปาง

บทสรุปเรื่องเล่าผีน่ากลัว…กับตัวตนจริงของแม่ชี!

หากใครได้ อ่านเรื่องผี จนมาถึงจุดนี้ ถ้าไม่ใช่คนจิตแข็งจริงๆ..ย่อมต้องรู้สึกไปในทางเดียวว่าเรื่องนี้มัน “น่ากลัวมากๆ” โดยเรื่องราวที่ทราบในภายหลัง คือแม่ชีท่านนี้แกมาจากไหนไม่มีใครทราบแน่ชัด ทราบเพียงว่าแกธุดงค์แล้วมาปักกลดอยู่ที่สวนหลังโรงเรียนเก่า จากนั้นก็มีชาวบ้านที่พบเห็นเข้าไปกราบไหว้บูชา ต่อมาก็มีข่าวว่าแม่ชีแกใบ้หวยได้แม่นมาก ชาวบ้านแถวนั้นถูกติดกันเป็นสิบๆงวด มีคนเข้าออกแถวนั้นเป็นจำนวนมาก กระทั่งช่วงหลังมา กลับเกิดเหตุการณ์แปลกๆขึ้น คือมีคนหาปลาส่องกบไปพบเห็นแม่ชีแกเดินป้วนเปี้ยนไปรอบหมู่บ้านในเวลาดึกดื่นอยู่บ่อยๆ ครั้นถามแกก็ตอบว่ามาเดินจงกรม ทำกรรมฐาน

แต่เรื่องเล่าแปลกๆยังไม่จบแค่นั้น ที่แปลกและสยองไปกว่านั้นคือ จากชุมชนที่เงียบสงบ จู่ๆก็มีผู้ชายเสียชีวิตไปทีละคนสองคน โดยที่ไม่มีอาการป่วยใดๆ เพียงแต่นอนๆอยู่ก็ไปทั้งอย่างนั้น หรือที่ชาวบ้านเรียกกันว่า “ไหลตาย” มีตั้งทั้งหนุ่มทั้งแกา หลังจากนั้นก็มีเสียงซุบซิบกันว่าอาจจะเป็นเพราะผีแม่หม้ายออกอาละวาด จึงได้ไปปรึกษาหมอธรรม ซึ่งคือตำแหน่งของผู้ที่มีคาถาอาคมที่ใช้ในทางที่ดี หมอแกบอกว่า…ไม่ใช่ผีแม่หม้ายหรอก แต่หากอยากรู้ว่าเป็นอะไร ให้ลองนำไก่ไปหาแม่ชี แล้วเอากลับมาผ่าดูข้างใน

มีชาวบ้านอุ้มไก่ไปพบแม่ชี หลังพูดคุยกันพักหนึ่งจึงกลับออกมา ปรากฎว่าจู่ๆไก่ก็น็อคไปซะอย่างนั้น เมื่อกลับมาผ่าออกดู ปรากฎว่าเครื่องในละเอียดไปหมด ราวกับถูกสัตว์ขย้ำ หลังจากนั้นชาวบ้านก็พากันรวมตัวไปขับไล่ผีปอบแม่ชีให้ออกไปจากหมู่บ้าน แต่เมื่อไปถึงดงต้นยูคาฯ กลับไม่พบร่องรอยของใครอยู่เลย จนคิดไปเองว่าคงจะหนีไปแล้ว แต่จากปากคำของคนหาปลาหากบตอนกลางคืน ยังคงมีคนพบเห็นแม่ชีผีเดินจงกรมไปตามหมู่บ้านอยู่! โดยเมื่อพยายามจะเข้าไปใกล้ แม่ชีผีแกก็จะจางหายไปอย่างไร้ร่องรอย นอกจากนี้ยังมีเรื่องเล่าลืออีกว่า เด็กๆที่ไปวิ่งเล่นแถวป่ายูคาฯก็พบเจอผีปอบแม่ชีป้วนเปี้ยนอยู่ในบางครั้ง แต่อย่างไรก็ตามเมื่อชาวบ้านออกค้นหา ก็เป็นอันต้องคว้าน้ำเหลวทุกทีไป และนี่คือเรื่องเล่าผีที่ครั้งนึงคุณปางได้พบเจอมากับตัว….

ขอบคุณที่มาเรื่องเล่าผี : คุณปาง สมาชิกกลุ่มเฟสบุ๊ค “เรื่องผีๆ-สาระดีๆ”

อ่านเรื่องผีน่ากลัว เรื่องอื่นๆ >> กดที่นี่

กลับสู่หน้าแรก สยองสแควร์

Admin

08/11/2019

อ่านเรื่องผี | หุ่นลองเสื้อสยองจากภูเก็ต “แอนนาเบลเมืองไทย”

อย่างหลอน! อ่านเรื่องผี “นี่มันแอนนาเบลล์เมืองไทยแลนด์” ชัดๆ เมื่อสมาชิกกลุ่มเฟสบุ๊คแนวเล่าเรื่องผีกลุ่มนึงอย่าง “คุณแบงค์” ได้ออกมาเล่าถึงประสบการณ์ในวัยเด็ก ซึ่งทางบ้านไปได้ “หุ่นลองเสื้อ” มือสองมาจากร้านขายของเก่าที่ภูเก็ตครั้งที่ได้ไปเที่ยว หลังจากเอากลับมาตั้งโชว์ในบ้านก็มีเหตุการณ์สุดแปลกประหลาดเกิดขึ้นในทุกๆวัน ในแบบที่คุณจะคาดไม่ถึงเลยทีเดียว

ขอเชิญ อ่านเรื่องผี สุดสยองของหุ่นลองเสื้อมือสอง…

เรื่องราวที่จะเล่าต่อไปนี้เป็น เรื่องเล่าผี ที่ผมประสบพบเจอมาด้วยตนเอง เมื่อ 14 ปีก่อน ขณะที่ครอบครัวผมได้เดินทางไปเที่ยวพักผ่อนที่เกาะภูเก็ต ในร้านขายของเก่าร้านหนึ่งเราได้เจอกับหุ่นลองเสื้อ เหมือนกับที่ตามร้านเสื้อผ้าใช้แสดงสินค้าอยู่ตัวหนึ่ง ซึ่งแม่ผมสนใจที่จะซื้อเพื่อนำไปจัดไว้ในห้องพระ ตอนนั้นเราซื้อมาด้วยราคาที่ถูกมาก จนกระทั่งพ่อเอากลับมาประกอบที่บ้าน หุ่นตัวนั้นถูกสวมใส่ด้วยเสื้อราชปะแตนแบบไทยประยุกต์ ซึ่งเป็นเสื้อสีขาวแขนยาวปิดคอ เพียงแต่ท่อนล่างจะเป็นกางเกงขายาวแทนที่จะเป็นโจงกระเบน ช่วงแรกๆผมก็กลัวทุกครั้งที่ผ่านห้องพระซึ่งตั้งอยู่ที่ชั้นสองของบ้านตามประสาเด็กๆ แต่สุดท้ายก็คุ้นเคยและชินไปเอง เนื่องจากไม่ได้มีอะไรเกิดขึ้นจนกระทั่งอาทิตย์ที่สาม

ในวันหยุดผมชวนเพื่อนบ้านใกล้กันมาเล่นที่บ้าน เราเล่นซ่อนแอบกันโดยที่ผมนั้นไปซ่อนเอาบนชั้นที่สามของบ้าน ตอนที่ผมแอบเพื่อนอยู่นั้น ผมได้ยินเสียงฝีเท้าของมัน เดินขึ้นมาตามหาอย่างชัดเจน แต่จู่ๆฝีเท้าก็วิ่งกลับลงบันไดไป ผมจึงลุกขึ้นมาจากทางหน้าต่างห้อง เห็นเพื่อนวิ่งออกประตูไปข้างนอกบ้านแล้ว ผมจึงวิ่งตามลงไปจนถึงบ้านเพื่อนแล้วถาม มันบอกแต่เพียงว่า… ถ้าหากจะเล่นอีก จะไม่ไปเล่นที่บ้านผมแล้ว ถามไปถามมามันจึงยอมเล่าว่า… ตอนที่มันเดินขึ้นมาถึงชั้นสองกำลังจะขึ้นบันไดชั้นสามอยู่นั้น มันกลับเห็นเงาสะท้อนบางอย่างกำลังเคลื่อนไหวอยู่ในกระจกที่ประตูเลื่อนของห้องเก็บของ ซึ่งพอจ้องดูดีๆแล้วก็พบว่า มันคือหุ่นที่ตั้งในห้องพระซึ่งอยู่ตรงกันข้ามกับห้องเก็บของนี่เอง หุ่นลองเสื้อธรรมดาที่ไม่ควรมีกลไกเคลื่อนไหว…กำลังเดินย่ำๆออกมาจากในห้องพระ เพื่อนผมตกใจหันไปดู ก็เห็นหุ่นที่ว่ามายืนหยุดกึกอยู่ที่เกือบจะถึงหน้าประตูห้อง! นั่นเองเป็นเหตุผลที่ทำไมมันถึงรีบวิ่งกลับบ้าน

หลังจากนั้นก็ยังมีเหตุการณ์เกิดขึ้นอีก โดยปกติตอนนั้นผมจะนอนห้องเดียวกันกับ พ่อ แม่ และน้องชาย ส่วนพี่ชายจะแยกไปนอนห้องส่วนตัวอีกห้อง คืนนั้นก็เช่นกันจนกระทั่งกลางดึก จู่ๆก็มีเสียงหมาที่เราเลี้ยงไว้ในบ้าน มาเห่าอยู่หน้าประตูห้องนอน อีกทั้งยังมีเสียงแกรกกรากคล้ายกับเสียงเล็บข่วนด้วย ทั้งที่ปกติแล้วมันไม่เคยเห่าในเวลาแบบนี้มาก่อน พ่อผมจึงร้องเรียกออกไปให้มันหยุดเห่า แต่มันก็ไม่ยอมหยุด จนพ่อต้องออกไปพามันเข้ากรงที่ชั้นสอง แล้วล็อคเอาไว้

หลังจากนั้นไม่นานเท่าไหร่ก็มีเสียงข่วนแกรกกรากดังขึ้นอีก สลับกันกับเสียงเคาะประตู ทั้งๆที่หมาก็อยู่ในกรงที่ล็อคกุญแจเรียบร้อยแท้ๆ พ่อร้องเรียกด้วยคิดว่าอาจเป็นลูกคนโตที่อยู่อีกห้อง แต่ไม่ปรากฏเสียงขานตอบ คราวนี้เราเริ่มคิดกันแล้วว่า อาจจะเป็นคนบุกรุกงัดแงะเข้าบ้านหรือเปล่า? พ่อลุกขึ้นไปล้วงปืนออกมาจากกระเป๋า เดินออกไปที่หน้าประตูแล้วค่อยๆแง้มประตู้ดังเอี๊ยดอ๊าด แต่ยังไม่ทันที่แสงจะรอดเข้ามาจนเห็นว่าเป็นใคร ประตูก็ปิดลงทันที โครม! แล้วล็อคลูกบิด “อย่าไปเปิดประตูเด็ดขาดนะ ห้ามเด็ดขาด! ไปๆๆ ไปนอนเร็วๆ” พ่อตะโกนสั่งทุกคน ผมกับน้องนอนตามที่พ่อสั่ง แต่ใจก็ไม่ได้หลับทันทีจนได้ยินบทสนทนาระหว่างพ่อกับแม่ที่ยังคุยกันเงียบๆ หากใคร อ่านรื่องผี บ่อยๆคงจะรู้นะครับ ว่าพ่อผมไปเจออะไรมา…

“หุ่นในห้องพระน่ะสิ..มายืนอยู่หน้าประตู! พ่อแง้มออกไปเห็นมันจ้องหน้ามาทางนี้ด้วย!”

เช้านั้นผมตื่นมาก็เห็นพระมากันเต็มบ้าน โดยพระท่านแนะนำว่าให้นำหุ่นไปไว้วัดเถอะ แต่เนื่องจากพ่อผมต้องไปทำงาน ยังไม่สะดวกที่จะขนไปไว้กระทันหัน และกะกันไว้ว่าว่าจะไปพรุ่งนี้…นั่นหมายความว่าเรายังต้องอยู่ร่วมกับเจ้า “หุ่นผี” ตัวนั้นอีก 1 วัน 1 คืน! หลังจากนั้นผมได้ไปดูที่ห้องพระ พบหุ่นตัวนั้นตั้งอยู่ที่เดิมโดยมีสายสิญจน์พันอยู่รอบมือรอบแขนและขา แม่สั่งกำชับอย่างเด็ดขาดว่า “ห้ามใครเข้าไปหรือเปิดประตูห้องนี้นะ” แล้วลงกลอนล็อคกุญแจปิดตาย

และคืนนั้นเองซึ่งเป็นคืนสุดท้ายของประสบการณ์ขนหัวลุกกับหุ่นผีตัวนี้ พวกเราเข้านอนกันเร็วกว่าปกติ โดยที่เราสัญญากันว่า หากเกิดอะไรขึ้นก็ตาม เรานะไม่ออกจากห้องนอนเด็ดขาด เราจะอยู่ในนี้จนกระทั่งสว่าง ส่วนพี่ชายผมเนื่องจากอายุ 20 แล้ว เขาต้องการความเป็นส่วนตัวและไม่ได้รู้สึกกลัวอะไร จึงนอนที่ห้องของตนเหมือนเดิม คืนนั้นค่อยๆผ่านไปช้าๆ  ในห้องเงียบมากแทบไม่มีใครคุยกันเลย ผมไม่รู้ตัวว่าหลับไปตอนไหน แต่สะดุ้งตื่นขึ้นมากลางดึกเพราะได้ยินเสียงพี่ชายจากห้องข้างๆร้องลั่น เหมือนตกใจกลัวอะไรบางอย่าง ผมและน้องกลัวจนร้องไห้ พ่อผมรีบลุกแล้ววิ่งออกไปที่ห้องของพี่ชายทันที โดยที่แม่ผมกอดเราไว้แน่น จนสักพักก็ได้ยินเสียงพ่อร้องตะโกนตามมา… “เห้ยยยยยย!” แล้วพี่ชายกับพ่อก็กระโจนเผ่นเข้ามาในห้องและลงกลอนทันที คืนนั้นเรากอดกันกลมทั้งห้าคน!

เรื่องราวในคืนนั้นผมไม่รู้เลยว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง พี่ผมร้องทำไม และพ่อหนีอะไร จนกระทั่งผ่านไป 14 ปี ผมนึกเรื่องนี้ขึ้นได้เลยถามแม่ถึงเหตุการณ์วันนั้น แม่เล่าให้ฟังว่า คืนนั้นพี่ชายนอนอยู่ที่ห้องแล้วได้ยินเสียงคนร้องเพลงดังขึ้นมาจากชั้นสองข่างล่าง พอมานึกดูดีๆภายหลังก็รู้สึกได้ว่าเสียงนั้นไม่เหมือนภาษาไทย แต่ตอนนั้นพี่ชายเข้าใจว่าเป็นผมที่ลงไปเล่นแล้วร้องเพลงอยู่ข้างล่างเนื่องจากเสียงค่อนข้างเล็ก จึงตะโกนว่าไป “เงียบๆหน่อย คนจะนอน” แต่ผ่านไปสักครู่ก็มีเสียงเปิดประตูแง้มเข้ามาในห้องพี่ชาย เนื่องจากภายในห้องมืดและแสงจากภายนอกที่ส่องย้อนเข้ามา ทำให้พี่ผมไม่สามารถเห็นได้ชัดว่าเป็นใคร ใครบางคนนั้นเดินเข้ามาพร้อมกับร้องเพลงและ “ปรบมือ” ไปด้วย จนกระทั่งมาหยุดที่ข้างเตียง พี่ผมยังเข้าใจว่าเป็นผมจึงบอกไปว่า ถ้าจะเล่นก็ให้ไปเล่นกับแม่ที่ห้องไป ขาดคำนั้นจู่ๆหัวของใครคนนั้นก็หลุดตุ๊บ! หล่อนลงมากองกับพื้น แต่อนิจจา…หัวนั้นยังคงร้องเพลงของมันต่อไป พี่ผมถึงได้ร้องลั่นจนพ่อเข้ามา เห็นเป็นหุ่นผีจากห้องพระนั่นเองที่ยืนอยู่ตรงนั้น โดยที่หัวลงไปกองอยู่ด้านล่าง ส่วนมือหยุดกึกในท่าปรบมือ!

ตอนนั้นผมยังเด็กจำเรื่องราวไม่ค่อยได้นัก แม่เล่าให้ฟังต่อว่าเช้านั้นเราก็นำหุ่นไปไว้วัด แล้วสวดทำขวัญกันทั้งครอบครัว ส่วนตัวหุ่นนั้นทางวัดทำพิธีแล้วนำไปฝังไว้ในป่าช้า ประสบการณ์เรื่องเล่าผีของบ้านผมก็จบลงตรงนั้น…

บทสรุป เรื่องเล่าผี ของมือสองสยองขวัญ…

สำหรับคนที่กำลังอ่านเรื่องผีมาจนถึงจุดนี้ ก็คงอยากทราบความเป็นมาของหุ่นตัวนั้น… หลังจากนั้นผ่านไป เรามีโอกาสได้กลับไปเที่ยวภูเก็ตอีกครั้งและได้กลับไปที่ร้านขายของเก่า ได้เจอลุงคนขายเดิมและเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้ฟัง ลุงแกเล่าว่าเดิมทีหุ่นนี้มีชาวมุสลิมมาขายให้ที่ร้านถูกๆ เนื่องจากเขาก็เจอเหตุการณ์แปลกๆเหมือนเรา คือหุ่นมันชอบย้ายที่เอง แต่ตอนอยู่ที่ร้านลุงไม่ได้สนใจหรือสังเกตอะไรเนื่องจากของในร้านก็ค่อนข้างเยอะ ส่วนวัดนั้นเราก็ไม่ได้กลับไปอีกเลย เนื่องจากภายหลังพ่อผมได้ย้ายไปประจำการที่ภาคใต้ ผมและครอบครัววจึงย้ายตามไปอยู่ที่สุราษฎร์ธานี จนกระทั่งผ่านไปกว่าสิบปี พ่อผมต้องกลับไปทำเรื่องเกษียณอายุราชการที่กรุงเทพ เราถึงได้แวะไปที่วัดนั้นอีกครั้ง แต่สิ่งที่ได้นินจากพระเจ้าอาวาสเป็นอะไรที่ชวนขนลุกสุดๆ ท่านเล่าว่า… ภายหลังฝังหุ่นตัวนั้นไว้ได้ราวสามสัปดาห์ จู่ๆหุ่นที่ควรถูกฝังอยู่กลับหายไป ทิ้งไว้เพียงหลุมเปล่าๆ ไม่มีใครรู้ว่าหุ่นตัวนั้นหายไปไหนหรือหายไปได้ยังไงจนทุกวันนี้ และยังมีเรื่องเล่าอีกว่า หลังจากที่หุ่นถูกฝังไว้ในป่าช้า ซึ่งปกติจะมีพวกวัยรุ่นเกเรมามั่วสุมกัน กลับไม่มีใครมาอีกเลย แม้กระทั่งเด็กแถววัดก็ไม่ไปวิ่งเล่นแถวนั้นกัน หลังจากได้ฟังเราก็รีบลากลับทันที ด้วยกลัวว่า “มัน” จะตามติดขึ้นรถมากับเราด้วย….

ขอขอบคุณที่มาเรื่องเล่าผี : คุณแบงค์ สมาชิกกลุ่ม the house online 

อ่านเล่าเรื่องผีน่ากลัว เรื่องอื่นๆ >> กดที่นี่

กลับสู่หน้าแรก สยองสแควร์

Admin

13/10/2019
1 2 3