วิญญาณจากจักรวาลคู่ขนาน…เจอผีตัวเองอีกคน

เรื่องนี้เป็นประสบการณ์ของสมาชิกเว็บดังท่านนึง ถ่ายทอดเรื่องราวเอาไว้ในเว็บบอร์ดนั้น เรื่องเริ่มต้นจากการนอนบนเตียงไม้เก่า พอตื่นขึ้นมาก็ถูกวิญญาณที่ ‘หน้าเหมือนตัวเอง’ ตามติด ปรากฎว่าวิญญาณนั้นแท้จริงแล้วเป็นตัวเองเมื่อชาติก่อนที่ยึดติดกับปมบางอย่าง จนไม่ไปผุดไปเกิด

โดยส่วนตัวแล้ว เราไม่ได้เป็นคนที่เชื่อเรื่องเหนือธรรมชาติหรือว่าผีสาง ไม่สิ เราไม่ได้ไม่เชื่อ แต่เพราะว่าตั้งแต่เกิดมาก็ไม่เคยเห็นสักครั้งนี่นา จะให้รู้สึกกับเรื่องที่ไม่เคยพบเจอ มันก็ไม่สนิทใจ อย่างไรก็ตาม คืนนึงในช่วงปิดเทอมหน้าร้อน ความเชื่อของเราได้ถูกสั่นคลอนเป็นครั้งแรก

ย้อนกลับไปเมื่อหลายปีก่อน พี่ชายที่ปกติไม่ค่อยได้มีโอกาสพบปะกัน ตั้งแต่เขามีการมีงานแล้วแยกบ้านออกไป โทรมาหาเรา พี่ชายเรามักจะชอบไปซื้อที่ดินหรือบ้านมือสองถูกๆ มาปรับปรุงใหม่ หรือที่ปัจจุบันนิยมเรียกกันว่า “รีโนเวท” นั่นแหละ เรื่องที่โทรมาในวันนั้นคือจะชวนเราไปดูบ้านที่พึ่งซื้อเป็นเพื่อน

เป้าหมายปลายทางอยู่ในต่างจังหวัด บอกตามตรงว่า…ถึงแม้เราจะว่างๆอยู่ก็เถอะ แต่ก็ไม่ได้พิศมัยกับกิจกรรมอย่างการไปเยี่ยมชมบ้านมือสองเก่าคร่ำครึ หากแต่สิ่งที่เราคาดหวังคือของแถมต่างหาก การได้ไปเที่ยวต่างจังหวัด พักผ่อนทานของอร่อย คงช่วยเยียวยาความน่าเบื่อของวันหยุดยาวได้บ้าง

บ้านหลังที่ว่านี้ มีลักษณะเป็นบ้านไม้ทรงไทยยกสูง อย่างกับออกมาจากหนังพีเรียด เราค่อนข้างแปลกใจอยู่เหมือนกัน ที่นี่ไม่ได้ดูแย่อย่างที่คิด พอถามพี่ชาย พี่ชายก็บอกว่า หลังนี้ไม่ได้จะซื้อมาขายต่อทำกำไร แต่ตัวเองอยากได้ไว้ใช้เป็นบ้านพักตากอากาศของครอบครัวเรา หืมม…พี่ชายที่ร้อยวันพันปีจะโผล่หน้ามาสักที ก็มีมุมแบบนี้เหมือนกัน

ระหว่างเดินชมห้องต่างๆพบว่า มีห้องนอนอยู่ 4 ห้อง ส่วนใหญ่ในห้องก็ดูโล่งๆ เนื่องจากยังไม่ได้ปรับปรุงตกแต่ง แต่ 1 ในนั้นมีเตียงนอนไม้ตะเคียนขนาดใหญ่ ที่ประดับด้วยลวดลายแกะสลักที่พนักหัวเตียง และปลายเตียง แม้มันจะเป็นของเก่าที่ปกติแล้วเราไม่ได้มีรสนิยมชมชอบอะไรทำนองนี้ แต่เตียงไม้หลังนั้นมีเสน่ห์ดึงดูดเราอย่างบอกไม่ถูก

“ได้ยินมั้ยๆ เป็นอะไรรึเปล่า หน้าซีดเลยนะ เดี๋ยวเราจะกลับกันแล้ว”

เสียงพี่ชายดังมาจากข้างๆ ทำให้เราสะดุ้งตื่น เราเผลอหลับบนเตียงไม้ที่ว่านั่นไปตอนไหนก็ไม่รู้…ระหว่างที่พี่ออกไปซื้อของกินแล้วทิ้งเราไว้ที่บ้าน นอนลงไปทั้งที่พื้นมันแข็ง อย่างไรก็ตาม คงต้องขอบคุณเสียงปลุกที่แสบโสตประสาท เพราะเมื่อไม่กี่นาทีก่อน เราพึ่งจะฝันแปลก แปลกมากๆ แต่พยายามจะตื่นยังไงก็ไม่ตื่น

เราเล่าเรื่องความฝันนี้ให้ครอบครัวฟังในภายหลัง ไม่ใช่หลังกลับจากทริปนั้นทันที แต่เป็นหลังจากที่เราเริ่มรู้สึกถึงบางอย่างที่ไม่ชอบมาพากล บางอย่างที่เราอาจ “บังเอิญ” นำติดตัวกลับมาด้วย คืนนั้นเราเข้านอนตามปกติที่บ้าน แต่แล้วก็รู้สึกตัวขึ้นมากลางดึก จะว่าไปมันก็เหมือนครึ่งหลับครึ่งตื่น แต่เรามั่นใจว่าคราวนี้ไม่ได้ฝันแน่ๆ เรารู้สึกได้ถึง “แรงกดทับที่มองไม่เห็น” เราพยายามจะลุกขึ้นนั่งด้วยแรงทั้งหมดที่มี อย่าว่าแต่นั่งเลย ขยับสักเซ็นยังไม่มี แถมยิ่งพยายามฝืนเท่าไหร่ มันยิ่งเจ็บมากขึ้น เหมือนมีใครมานั่งทับเราไว้

ครั้งแรกก็เข้าใจว่าคงเป็นอาการเหน็บชา หรืออาจจะปลายประสาทอักเสบ แต่หลังจากคืนนั้นมาก็มีอาการแบบนี้เกิดขึ้นอีกหลายครั้ง จนเริ่มจะเอนเอียงไปทางเรากำลังถูกผีอำรึเปล่า ย้อนกลับไปเรื่องความฝันที่บ้านหลังนั้น ฝัน…ที่ประหลาดเอามากๆ ในซีนนั้นเราฝันเห็นผู้หญิงคนหนึ่งกำลังนอนหนุนอยู่บนตักของผู้หญิงอีกคนหนึ่ง พอเราจ้องมองดูชัดๆก็รู้สึกใจหาย เพราะคนที่นอนอยู่ดูมุมไหนมันก็คือ…ตัวเราเองชัดๆ ในชุดเดียวกันกับที่สวมไปบ้านหลังนั้น แต่สิ่งที่ทำให้เราแทบช็อคคือใบหน้าของผู้หญิงที่นั่งต่างหาก ใบหน้าของเธอเหมือนคนที่นอนอยู่ราวกับแกะสลักขึ้นมาจากช่างคนเดียวกัน ใช่แล้ว…หน้าเธอคนนั้นก็เหมือนเราไม่มีผิด!

หลังเราเล่าเรื่องนี้ให้ฟัง ทางครอบครัวก็เริ่มมีอาการวิตกกังวล โดยเฉพาะเมื่อมันเกิดขึ้นหลังจากที่เรามีอาการคล้ายถูกผีอำ แต่ตัวละครที่เข้ามามีบทบาทเพิ่มขึ้นหลังจากนี้คืออาของเพื่อนเราเอง เรื่องมันเริ่มจากที่แม่เราเอาเรื่องนี้ไปเล่าให้เพื่อนสนิทของเราฟัง จริงๆแล้วแม่ก็แค่เป็นห่วงเลยอยากให้ช่วยดูๆเราด้วย วันหนึ่งกิ่งก็พาเราไปหาอาของกิ่งที่บ้าน ถึงแม้ตามศักดิ์แล้วจะเป็นอาแท้ๆของกิ่ง แต่ด้วยความที่อายุอานามยังไม่มากนัก และความสนิทสนมประมาณหนึ่ง เราเลยเลยอาของกิ่งว่าพี่แทน…

พี่เนมบอกว่า…พี่รู้จักอาจารย์ที่นับถืออยู่ท่านนึง เป็นผู้เชี่ยวชาญไสยเวท หรือจะเรียกว่าหมอผีก็คงจะได้ อาจารย์ท่านนี้อยู่ที่สุรินทร์ ซึ่งอำเภอนี้มีอาณาเขตติดกับประเทศเพื่อนบ้าน เรียกได้ว่าเป็นละแวกชุมนุมของผู้วิเศษเหมือนกับตรอกไดแอคกอน ในแฮร์รี่พอตเตอร์เลยทีเดียว

บอกตามตรงว่า…ถ้าเป็นเมื่อก่อนเราคงไม่สนใจ อันที่จริงเราไม่ชอบแม้แต่ดูดวงด้วยซ้ำ แต่สถานการณ์ที่เจอตอนนี้ มันคงเกินจุดที่จะแบกรับคนเดียว อย่างไรก็ตาม เราเองก็ไม่สะดวกที่จะเดินทางไปไกลขนาดนั้น พี่เนมเลยบอกว่า เดี๋ยวให้เป็นธุระของเค้าเอง เราเองก็แบ่งรับแบ่งสู้ เชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง อดสงสัยไม่ได้ว่า แค่คุยทางโทรศัพท์ บอกชื่อ-นามสกุล วันเดือนปีเกิด มันจะช่วยได้จริงหรือ? แต่พี่เนมยังคงยืนยันว่เสียงแข็งา…ที่นี่คือฮอกวอร์ตเมืองไทย เราเองก็ลำบาก คงต้องหวังพึ่งอย่างเดียว

หลังจากนั้น เราเองยังมีอาการผีอำอยู่อย่างต่อเนื่อง มีช่วงนึงเราเลือกที่จะเปลี่ยนเวลานอน คือนอนตอนกลางวัน ตื่นกลางคืนแทน แต่ที่แย่คือมันก็อำเราได้แม้แต่กลางวัน หนักเข้าก็เริ่มได้ยินเสียงเรียก “ชื่อเรา” ดังมาจากใต้เตียง ช่วงนั้นเลยเป็นช่วงที่เราแม่นคาถาชินบัญชรมาก มากขนาดที่ว่าแรปแบบใส่บีตเป็นเพลงได้ เพราะต้องท่องทุกครั้งเวลามีอาการ

ผ่านไปหนึ่งอาทิตย์ มีสายที่ไม่คุ้นเคยโทรเข้ามา… เป็นอาจารย์จากตรอกไดแอคกอนนั่นเอง

“เอาล่ะ หมอได้ฟังเรื่องราวทั้งหมดมาแล้ว หนูฟังดีๆนะ สิ่งที่จะพูดต่อไปนี้อาจจะเชื่อยาก แต่มันคือความจริง”

“ค่ะ” เรารับฟังอย่างว่าง่าย

“เหตุการณ์ที่หนูประสบอยู่ มันคือการ…นอนทับที่ตัวเองตาย ที่ที่หนูเคยใช้ลมหายใจสุดท้ายเมื่อชาติที่แล้ว”

“เตียงที่หนูไปนอนในบ้านที่ต่างจังหวัดนั่นไง ชาติที่แล้วหนูเคยตายตรงนั้น แต่วิญญาณของหนูยังสถิตย์อยู่ในเตียงนั่นมาถึงปัจจุบันเพราะคำสัญญา”

“ว่าไงนะค?! แล้วหนูไปสัญญาอะไรกับใคร”

“หนูสัญญากับตัวเองและคนรัก คนรักหนูไปรบในสงครามแล้วไม่ได้กลับมา หนูเลยตั้งจิตอธิษฐานอย่างแรงกล้า ว่าหนูจะอยู่ที่นี่ ตรงนี้ รอจนกว่าเค้าจะกลับมาพบกันอีก”

“เดี๋ยวนะคะ แล้ว…พอตายในชาติที่แล้ว แล้ววิญญาณไม่ได้ไปผุดไปเกิดเป็นหนูเหรอ??”

“วิญญาณบางคนมีได้มากกว่าหนึ่งนะ ดวงจิตมีได้มากกว่าหนึ่งดวง หนูรู้จักโรคหลายบุคลิกที่ฝรั่งเค้าเรียกว่า มัลติเพิ้ล เพอร์ซันนอล ดิสซอเดอร์มั้ยล่ะ? นั่นแหละเหตุผล”

“โอเค สมมติว่าวิญญาณอีกดวงของหนูอยู่ตรงนั้น แล้วเค้าต้องการอะไรจากหนู”

“เค้ารอแฟนเค้ามานับศตวรรษ การที่หนูไปนอนตรงนั้น มันเหมือนเป็นทริกเกอร์ทำให้เค้าตื่นขึ้นมา บางที…เค้าอาจจะอยากได้กายหยาบไปหาแฟนของเค้า”

“ที่ผ่านมาหนูมีแฟน ก็รักๆเลิกๆ หมอพูดถูกมั้ย? หนูคบกับใครก็ต้องเลิกทุกราย ทุกอย่างมันเพราะพันธนการจากอดีตชาตินี่แหละ ที่สำคัญคือเค้าเจอแฟนเค้าในชาตินี้แล้ว”

บอกตามตรง…ฟังจบเราก็ช็อคไปเลย นี่เรากำลังดูละครหลังข่าวอยู่รึเปล่า ถ้าไม่ใช่เพราะว่าเจอกับนตัว ได้ยินกับหูมาหลายสัปดาห์ เราคงคิดว่า…หมอนี่เป็นนักต้มตุ๋นไปแล้ว อย่างไรก็ตามเราก็พยายามจะสอบถามถึงวิธีแก้ไข อาจรย์บอกว่า…ความมุ่งมั่นเค้าแรงกล้ามาก เค้าไม่ยอมไปจากเราง่ายๆแน่ เค้าก็คือเรา เราก็คือเค้า เพียงแต่มาจากคนละห้วงเวลา ห้วงมิติ ห้วงจักรวาลกัน มันตัดกันไม่ขาด

อาจารย์บอกว่าลำดับแรก ให้ไปไหว้พระ 9 วัด อธิษฐานขอถอนคำสัญญาจากชาติที่แล้ว คำมั่นใดๆที่เคยสัญญาจากชาติใด พบใด ชาตินี้เราไม่ได้รับรู้ด้วย ขอแคนนเซิลให้หมด จากนั้นให้ไปปฏิบัติธรรมห่มขาว อย่างต่ำ 7 วัน เราต่อรองกับอาจารย์ ขอเป็นทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้เจ้ากรรมนายเวร ไม่ได้เหรอ แต่อาจารย์บอกว่า… “เค้าไม่ได้มาเพื่อต่อรอง” บุญธรรมดาเค้าไม่ยอมรับไปหรอก

เราไปปฏิบัติธรรมตามคำแนะนำที่วัด ก็รู้สึกได้ว่าอาการผีอำเราตอนนอนเริ่มหายไป แต่ในระหว่าง 7 วันก็พบเจอเหตุการณ์แปลกๆบ้าง เช่น เห็นเงาดำตะคุ่มแอบมองมาจากหลังต้นไม้บ้าง หรือบางทีเวลาที่ส่องหรือเดินผ่านกระจก เรารู้สึกเหมือนกับว่า ภาพที่สะท้อนบนนั้น ไม่ใช่ตัวเรา มันมีบางอย่างที่ขัดๆอยู่เล็กๆ

กระทั่งวันแห่งพันธะสัญญามาถึง เย็นวันนั้นพี่เนมโทรศัพท์มาหาเราแต่ไม่ได้รับ มีมิสคอลขึ้นมา 4-5 สาย ดูเหมือนจะมีเรื่องด่วน บางทีอาจจะเป็นความคืบหน้าจากอาจารย์ก็ได้ เราเลยโทรกลับไป

“พี่ไปคุยกับอาจารย์ที่สำนักมาแล้วนะ อาจารย์ทำพิธีเรียกดวงวิญญาณของผู้หญิงคนนั้นมาหา”

“ยังไงคะ เรียกมาพบได้ด้วยเหรอ”

“เรารู้จักกุมารทองใช่ไหมล่ะ อาจารย์ท่านมีบริวารมาก ท่านก็ให้น้องๆพวกนั้นไปตามตัวมา”

มันก็คงจะเหมือนกับเอลฟ์ประจำบ้านล่ะมั้ง…อย่างไรก็ตาม เราไม่ได้ตอบอะไร แต่ฟังต่อ

“แล้วรู้มั้ยว่าพี่เจออะไร ผู้หญิงไงล่ะ ผู้หญิงคนนั้น…หน้าตาเหมือนเราอย่างกับแกะ”

ใช่จริงๆสินะ มีตัวเรา “อีกคนนึง” มาปรากฎตัวบนโลกนี้ แต่สิ่งที่ชวนตะลึงมากกว่านั้นคือ หลังจากผู้หญิงคนนั้น…ตัวเราเองอีกคนมานั่งอยู่ในตำหนัก ก็เอาแต่ร้องห่มร้องไห้ แล้วบอกว่า…

“กูทนรอ รอของกูมาตั้ง 290 ปี จะมาให้กูไปเหรอ…ไม่มีทาง!”

“ทำไมเอ็งต้องหาทางผลักไสกูด้วย ไม่ใช่เอ็งเหรอที่สัญญากับกูไว้ ว่าจะรักกูคนเดียว จะกลับมาหากู…”

“บุญเบิญอะไร…กูไม่เอาทั้งนั้น ไม่เอาทั้งน้านนน”

แล้วเทียนทุกเล่มก็ดับพรึ่บพร้อมๆกัน กระทั่งลูกศิษย์อาจารย์ฉายไฟส่องเข้ามา จึงเห็นว่าตัวเราอีกคนหายไปแล้ว

มันช่าง “บังเอิญ” อะไรขนาดนี้ หรือความจริงแล้วมันเป็นชะตากรรม ถึงตรงนี้ความจริงก็ปรากฏ ผู้ชายที่เคยสัญญากับตัวเราเมื่อชาติที่แล้ว คนรักที่ตัวเราอีกคนรอคอยมานานเกือบ 3 ศตวรรษ คือ…พี่เนมนี่เอง

หลังจากนั้นเราปรึกษากันได้ความว่า ต้องทำบุญใหญ่ให้เค้าโดยที่ทั้งเรากับพี่เนมเป็นเจ้าภาพร่วมกัน ทำบุญร่วมกัน …

Admin

22/01/2022

“คนหลอกผี” ถูกผีตามติด…เลยหลอกมันขึ้นรถทัวร์ไปลงเชียงใหม่

เรื่องเล่าคราวนี้ เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับคุณนัท คุณนัทเล่าว่าชีวิตในวัยเด็กของเธอ เริ่มต้นตั้งแต่ตอนที่เกิด แม้ตัวเธอจะคลอดก่อนกำหนดราวหนึ่งเดือนเลยต้องอยู่ในตู้อบ แต่หลังจากนั้นเธอก็เป็นเด็กที่เติบโตมาอย่างแข็งแรง จนกระทั่งวันหนึ่งตอนอายุ 4 ขวบกว่าๆ

คุณนัทบอกว่า ตอนนั้นไปเที่ยวต่างจังหวัดกันทั้งครอบครัว แต่กว่าจะถึงก็ค่ำเข้าไปแล้ว เลยทำได้เพียงเดินเล่นในย่านตลาดค้าขายแถวนั้น ระหว่างที่สามคนพ่อแม่ลูก กำลังผิดหวังที่มาถึงตอนตลาดก็เริ่มวายแล้ว ก็เดินไปสะดุดตาเข้ากับศาลเจ้าจีนเล็กๆ ที่มีแสงสีแดงฉูดฉาด ตรงสุดซอย เลยตัดสินใจว่าไปขอพรไหว้พระกันก็แล้วกัน

ทุกอย่างก็ดำเนินไปอย่างปกติ จนกระทั่งตอนจะเดินออกจากศาลเจ้า คุณแม่คุณนัทก็สะดุ้งตกใจขึ้นมา เพราะจู่ๆลูกสาวตัวเองก็โพล่งขึ้นมาเสียงดัง ท่ามกลางความเงียบ

“แม่ๆ ป้าเค้าเอาไก่มาให้หนูด้วย ดูสิ…ไก่ตาแดงด้วย”

คุณแม่คุณนัทมองตามสายตาลูกสาวไปที่มือ สิ่งที่เธออุ้มอยู่…ไม่ใช่ไก่เป็นๆ หากแต่เป็นตุ๊กตา/รูปปั้นไก่สีทอง คล้ายกับวัตถุมงคลตามศาลเจ้านั่นเอง เว้นซะแต่ว่า…ดวงตาของมัน ดูปูดโปนซ้ำยังแดงก่ำแวบวับจนเห็นชัดในความมืด ชวนให้ขนลุก

“ลูกเอามาจากตรงไหน เอาไปวางคืนที่เดิมๆ อย่าเอาของเค้ามา”

คุณนัทในวัยสามขวบก็ทำตามอย่างว่าง่าย เอากลับไปวางที่เดิมโดยไม่ได้โต้แย้งใดๆ แล้วก็กลับที่พักกัน นี่คือเรื่องราวที่คุณนัทเองก็ลืมไปแล้ว แต่ได้ฟังมาจากคุณแม่

ไม่ว่าจะเป็นเรื่องบังเอิญหรือไม่ก็ตาม หลังจากค่ำคืนนั้นคุณนัทก็มีพฤติกรรมที่แปลกไป คือชอบนอนละเมอตอนกลางคืน ไม่ใช่อาการละเมอธรรมดาๆ อย่างการพูดอะไรงึมงำคนเดียวบนเตียง แต่หนักถึงขั้นเคยลุกเดินไปมากลางบ้านอยู่หลายครั้ง ครั้งที่หนักสุดคือละเมอเดินไปเข้าห้องน้ำชั้นล่างทั้งที่หลับตา นั่งส้วมในชุดนอน แล้วจู่ๆตัวก็ล้มฟุบลงหัวแทบจุ่มลงส้วม ยังดีว่าเสียงดังพอที่พ่อแม่ของเธอจะได้ยิน แล้วลงมาดู เลยกลายเป็นความกังวลใจในความปลอดภัยขึ้นมา

ครอบครัวเลยพาไปพบแพทย์ แต่ก็ได้ความว่าอาจจะเกิดจากตัวคุณนัทนอนไม่พอ นอนน้อย จนทำให้มีพฤติกรรมนอนละเมอ คุณแม่คุณนัทก็งง ลูกอยู่ในวัยเรียนเข้านอนแต่หัวค่ำเสมอ คืนนึงคุณแม่คุณนัทเลยแอบสอดส่องดูพฤติกรรม หลังจากส่งคุณนัทเข้านอนไปแล้ว ช่วงเกือบๆเที่ยงคืนก็ได้ยินเสียงพูดดังออกมาจากห้องนอนลูกสาว ทีแรกแม่คุณนัทก็เข้าใจว่า เป็นส่วนนึงของอาการละเมอ แต่พอตั้งใจฟังดู…ในเนื้อความเหมือนคุยกับใครบางคนมากกว่า…

“คุณป้า…มาหา…นัททุกวัน…แบบนี้ ไม่เบื่อเหรอ”

“หนู หนูยัง…ไม่อยากไป…ค่ะ คุณป้า หนูยัง…ต้องเรียนหนังสือ ต้องไปโรงเรียน”

คุณแม่เริ่มตกใจเลยเปิดเข้าห้องไป พบว่าคุณนัทลุกมานั่งบนเตียงในสภาพหลับตาสนิท แต่เหงื่อท่วมไปทั้งตัวราวคนพึ่งตื่นจากฝันร้าย อย่างไรก็ตาม…คุณนัทจำเรื่องราวตอนที่เธอละเมอพูดไม่ได้เลย

หลังจากหาหมออยู่พักหนึ่ง อาการไม่ดีขึ้นนัก แถมคุณนัทเองเริ่มมีปัญหาสุขภาพอื่นๆ จากการพักผ่อนไม่เพียงพอ กลายเป็นคนป่วยง่ายไปเลย สุดท้ายคุณแม่เลยพาคุณนัทไปหาพระที่วัดดังแห่งหนึ่ง

พอลงจากรถยังไม่ทันเดินไปไหนไกล ก็ถูกพระหนุ่มที่กวาดลานวัดอยู่แถวนั้นทักขึ้นมาพอดี “ไปสัญญาอะไรเอาไว้ล่ะหนู เค้าถึงได้ตามติดเป็นเงาเลย”

คุณแม่ทำท่าจะพูดอะไรบางอย่าง แต่ก็กลืนคำนั้นลงคอ เพราะท่านชี้มือไปอีกทาง “หลวงพ่อท่านรออยู่ รีบไปพบเถอะโยม”

หลังจากได้พบหลวงพ่อ ท่านก็พูดคล้ายกับที่หลวงพี่พระหนุ่มทักไป คือมีวิญญาณตามติดคุณนัทเนื่องจากเคยไปรับคำสัญญาอะไรเอาไว้ คุณแม่คุณนัทก็งง ว่าลูกของตนไม่เคยเข้าร่วมพิธีกรรมอะไร ถามไปถามมาก็เลยรู้รูปพรรณของวิญญาณที่ตามติด ว่าเป็นอาม่าอายุราว 70 สวมชุดคล้ายกี่เข้าดูจีนๆสีขาวเลื่อมทอง ทีนี้คุณแม่คุณนัทก็นึกขึ้นได้ทันที… ราวครึ่งปีที่ผ่านมา เคยไปเที่ยวศาลเจ้าจีน แล้วลูกพูดจาแปลกๆ ก็เล่าเหตุการณ์วันนั้นให้พระท่านฟัง

พระท่านก็ว่า…แม้คุณนัทไม่ได้รับของ (ไก่ตาแดง) มาแต่ตอนเอาไปวางที่เดิม ก็ไม่ได้มีคำพูดถอน หรือคำขอคืนแต่อย่างใด ทางนั้นเค้าก็ทึกทักเอาแล้วว่ารับของจากเค้าไป เค้าชอบใจคุณนัท เค้าอยากเอาไปอยู่เป็นลูกเป็นหลาน คุณแม่คุณนัทได้ฟังมาถึงตรงนี้ก็หน้าซีด ถามพระว่ามีทางไหนจะแก้ไขเรื่องนี้บ้าง

พระท่านก็ว่า…ตอนนี้เค้ารู้จักรูปร่าง หน้าตา ชื่อเสียงเรียงนามคุณนัทแล้ว และเค้าชอบคุณนัทมาก คงไม่ยอมเทง่ายๆ สิ่งที่พระท่านแนะนำ แม้แต่คุณแม่ก็ยังตะลึง ท่านว่าให้ทำการ “หลอกผี” ซะ ตัวคุณแม่เองเกิดมากว่า 40 ปี เคยได้ยินแต่คำว่าถูกผีหลอก แต่นี่พระกลับแนะนำให้หลอกผี หลังจากนั้นก็แนะนำวิธีเตรียมตัวต่างๆให้

เย็นวันเสาร์ ปฏิบัติการลับสุดยอดก็เริ่มต้นขึ้น คุณพ่อคุณนัทพาเธอไป “หมอชิต” พร้อมด้วยกระเป๋าเดินทางแปะชื่อคุณนัท ที่ใส่เสื้อผ้า ข้าวของเครื่องใช้ของคุณนัทไปด้วย เมื่อถึงเวลาใกล้รถออก คุณพ่อจุดธูปขึ้นมาดอกนึง แล้วกล่าวว่า…

“อยากได้ลูกกรุนักใช่มั้ย ถ้าอยากได้ก็จะให้…แต่ตามไปเอาเองนะ!”

ใช่แล้ว! พระท่านแนะนำให้หลอกผี ด้วยการหลอกพามันไปให้ไกลที่สุด คุณพ่อคุณนัทก็จัดตั๋วรถทัวร์ “กรุงเทพ – เชียงใหม่” ให้เลย ไกลสะใจ จากนั้นก็ขึ้นไปบนรถพร้อมทั้งสัมภาระข้าวของ แล้วบอกคนขับจอดตรงหน้าทางออกจากหมอชิต ก่อนจะพาคุณนัทลง โดยที่ทิ้งข้าวของไว้บนรถให้ผีมันตายใจ Go to Chiangmai กันไปเลย

หลังจากนั้น คุณนัทก็ไม่ได้ใช้ชื่อเดิมอีกต่อไป เปลี่ยนทั้งชื่อจริง และชื่อเล่น นามสกุลก็ใช้นามสกุลแม่แทน และแน่นอนว่า “นัท” ก็ไม่ใช่ชื่อเล่นดั้งเดิมของเธอ

อย่างไรก็ตาม ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ อาการคุณนัทก็ดีขึ้นเรื่อยๆ ไม่รู้ว่าเป็นผลสืบเนื่องมาจากการรักษา หรือแผนจารกรรมปล้นลูกคืนจากผีอาม่าในครั้งนั้นกันแน่ จนถึงปัจจุบันคุณนัทกับครอบครัวก็ไม่แวะเวียนไปจังหวัดดังกล่าวตอนต้นเรื่องอีกเลย กลัวว่าเดี๋ยววันนึง บังเอิญไปเจอกับอาม่าอีก แล้วจะมองหน้ากันไม่ติด นี่คือเรื่องราวทั้งหมด…

Admin

18/01/2022

“อย่าหาว่าอาตมาสอน” เมื่อพระโทรสอนผีให้มูฟออน…

เรื่องนี้เป็นเหตุการณ์ที่คุณกวินท์ พบเจอมาตอนที่เคยไปบวช ณ วัดแห่งหนึ่งในภาคเหนือ ย้อนกลับไปราว 5-6 ปีก่อน คุณกวินท์เล่าว่า…ตนเลือกบวชที่วัดแห่งนี้เพราะคุณแม่แนะนำมา ข้อดีคือไม่ต้องมีพิธีรีตองอะไรมาก ทุกอย่างเป็นไปอย่างเรียบง่าย ตรงตามที่คุณกวินท์ต้องการบรรยากาศก็ร่มรื่นเงียบสงบ

เรื่องมันอยู่ตรงนี้ คุณกวินท์ต้องไปนอนในกุฏิเก่าล่วงหน้าหนึ่งคืน ก่อนที่จะเข้าพิธีอุปสมบทในเช้าถัดไป 

กุฏิหลังเก่าที่ว่านี้เป็นกุฏิที่ทำจากไม้ 2 ชั้น ถึงแม้ว่าสีที่เคยทาไว้จะเริ่มหลุดลอก แต่โดยรวมของอาคารก็ยังมีสภาพที่สมบูรณ์ ชวนให้นึกว่ามีเสน่ห์ในแบบของเก่า 

อย่างไรก็ตาม เนื่องจากพระรูปอื่นได้ย้ายไปจำวัดในกุฏิหลังใหม่ ซึ่งทางวัดยังคงวุ่นวายเกี่ยวกับการจัดแจงข้าวของต่างๆอยู่ ที่กุฏิไม้หลังนี้จึงมีเพียงคุณกวินท์อยู่คนเดียว

คุณกวินท์ไม่ได้เป็นคนกลัวผี เนื่องจากว่าตนเองก็ไม่เคยเห็น การอยู่คนเดียวในวัดเลยไม่ใช่ปัญหาอะไร ทั้งกุฏิหลังนี้ก็อยู่ข้างกุฏิใหม่ ยกเว้นโทรศัพท์สีฟ้าตุ่นที่ตั้งอยู่ตรงระเบียงชั้น 2

คืนนั้นคุณกวินท์ฝึกท่องบทสวดต่างๆ ที่พระรุ่นพี่แนะนำก่อนหน้าไปจนถึงประมาณสี่ทุ่ม ก็เตรียมตัวเข้านอน ไม่นานก็หลับสนิทจนกระทั่งถูกปลุกโดยเสียงโทรศัพท์

กริ๊งงงงงง…กริ๊งงงงงง…กริ๊งงงงงง…

คุณกวินท์ที่สะลึมสะลือตื่นขึ้นมาดูนาฬิกาบอกเวลา 00:30 ในใจไม่ได้คิดอะไรนอกจากสงสัยว่ามีใครที่ไหนบ้างจะโทรเข้ากุฏิวัดหลังเที่ยงคืน? แต่อาจจะเป็นสายจากพระรุ่นพี่ที่ตึกข้างๆก็เป็นได้ จึงลุกออกไปรับ

ค…ครับบ?

พรืดดดดดด…พรืดดด…

เสียงที่ตอบมาจากปลายสายทำคุณกวินท์รู้สึกแปลกใจ ไม่ใช่สายจากพระในวัดแน่ เสียงที่ว่านั้นทั้งแหบและพร่า บวกกับมีเสียงหายใจแรงฟืดฟาดอยู่ตลอด

“ขอคุยกับพระหน่อยยยยย…”

คุณกวินท์ตอบไปว่า ตอนนี้คงไม่ได้เนื่องจากดึกมากแล้ว หากมีธุระอะไรไว้โทรมาตอนเช้าแล้วกัน แต่ปลายสายไม่ยอม

“ผมต้อง…จะคุย..ยย…เดี๋ยวนี้…”

คุณกวินท์คิดอยู่สักพักว่าจะจะจัดการกับเรื่องนี้ยังไง แต่สุดท้ายก็เดินไปตามพระรุ่นพี่ที่ตึกข้างๆ 

ทันทีที่คุณกวินท์แจ้งให้หลวงพี่ทราบ ดูเหมือนหลวงพี่จะรู้จักปลายสายอยู่แล้ว เลยไม่ได้มีท่าทีตกใจอะไร รวมทั้งไม่ได้ซักถามคุณกวินท์มากมาย ก่อนจะเดินตามคุณกวินท์ไปรับสาย

เมื่อเดินถึงชั้น 2 ของกุฏิ หลวงพี่บอกกับคุณกวินท์ว่า “โยมไปนอนเถอะ อาตมาจัดการเอง พรุ่งนี้เป็นวันสำคัญของโยม” 

อย่างไรก็ตามเนื่องจากกลางคืนนั้นเงียบสงัด อีกทั้งความที่กุฏิหลังนี้ว่างเปล่าโล่งจนราวกับถูกยกเค้า เลยทำให้บทสนทนาโทรศัพท์ด้านนอก ก้องกังวาลจนพอจะได้ยิน ว่าหลวงพี่สัญญากับปลายสายว่าจะตามใครบางคนมาพบให้

เย็นวันถัดมา หลังคุณกวินท์เข้าพิธีเรียบร้อย และร่วมทำวัตรเย็นกับพระรูปอื่น หลวงพี่รูปเดิมก็เข้ามาบอก…

“คืนนี้อาจจะมีสายโทรมากลางดึกอีก รบกวนรับสายให้ด้วย” 

คืนนั้นก็มีสายโทรเข้ามาจริงๆ ในเวลาเดิมคือ เที่ยงคืนเศษๆ  ปลายสายยังเป็นเสียงผู้ชายคนเดิม แหบๆ ขาดๆ แต่ที่ต่างไปคือคราวนี้ไม่ได้ร้องขอคุยสายกับคนอื่น แต่เหมือนจงใจคุยกับคุณกวินท์

“พระ… ไหน…สัญญากับผมแล้ว…ไง ว่าจะตามนังนั่นมาพบผมมม”

คุณกวินท์ก็งง ว่าพูดถึงเรื่องอะไร ตนไม่ทราบ เลยบอกว่าเป็นพระคนละรูป เดี๋ยวจะไปตามหลวงพี่มาพูดด้วย ก่อนที่จะพักสายไว้ 

ในจังหวะนั้นเอง…ที่คุณกวินท์รับรู้หน้าตาของสิ่งที่เรียกว่า “ความกลัว” เป็นครั้งแรก สิ่งที่คุณกวินท์พบไม่ใช่ฉากอะไรที่ชวนขนลุก แต่ได้พบความจริงว่า โทรศัพท์เครื่องนั้นไม่ได้ต่อสายเอาไว้! มันเพียงถูกว่างไว้บนแท่นยกสูงที่ปูพรมเสียวเหลืองแก่ไว้ ราวกับเป็นอุปกรณ์ประกอบฉาก 

“มันต้องมีอะไรผิพลาดแน่ๆ” คุณกวินท์คิดในใจ ก่อนจะเอื้มมือไปยกโทรศัพท์เครื่องนั้นขึ้น เพื่อจะพิสูจน์ว่ามันต้องมีสายซ่อนอยู่ด้านหลัง ด้านล่าง แต่…มันก็ไม่มี!

“ฮิๆๆๆๆๆ ฮ่าาๆๆๆ”

เสียงดังเล็ดลอดออกมาจากหูโทรศัพท์ที่วางพักไว้…

“ทำเป็นเรื่องประหลาดไปได้ ยังไม่ชินรึ พระ”

เท่านั้นแหละ คุณกวินท์รวบจีวรให้กระชับแล้วรีบจ้ำออกจากกุฏิไปหาหลวงพี่

“โครมๆๆๆๆ”

“หลวงพี่ๆ ตื่นๆๆ มีเรื่องแล้วครับ”

คุณกวินท์เล่าให้หลวงพี่ฟังจบ ท่านก็ออกไปที่กุฏิไม้ แต่คราวนี้บอกกับพระรุ่นน้องที่พึ่งบวชมาใหม่ๆว่า “คราวนี้ท่านอยู่ฟังด้วยกันนี่แหละ”

หลวงพี่ยกหูโทรศัพท์ขึ้นมาแต่ไม่ได้แนบกับหู แต่ยกขึ้นมาถือไว้เพื่อให้คุณกวินท์ได้ยินด้วยแม้ว่าเสียงปลายสายจะฟังยาก แต่จับใจความได้ประมาณนี้

“ว่าไงโยมจุ่ม…ยังไม่ปล่อยวางเรื่องโยมติ๊กอีกหรือ”

“จะให้ปล่อยวาง…อะไรท่าน ในเมื่อร่างผ…ผม ต้องนอนหนาวเหน็บ อย่าง…โดดเดี่ยวในโลง… ตอนที่นังนั่นกำลัง…นอนสบายกับแฟนใหม่…”

จนถึงตอนนี้หน้าของคุณกวินท์ถอดสี ราวกับกำลังจะเป็นลม พลันหันมองหน้าพระรุ่นพี่ หลวงพี่ก็ได้แต่พยักหน้า คล้ายบอกว่าให้ฟังต่อไป

“โยม…อย่าหาว่าอาตมาสอน เลยนะ”

“ตอนโยมยังกินอยู่ร่วมกัน โยมติ๊กก็ดูแลโยมจุ่มอย่างดีทุกอย่างไม่ใช่หรือ”

“แต่โยมจุ่ม ตัวโยมเองเอาแต่เมาหัวราน้ำทุกวี่วัน จนทะเลาะเบาะแว้งกับโยมติ๊กไม่ขาด ในที่สุดเขาก็ต้องไป”

“ตอนนี้โยมจุ่มก็อยู่กันคนละโลกกับเขาแล้ว โยมต้องปล่อยวาง อโหสิกรรมแก่กันเถิด”

“อย่าได้มีเวรต่อกันและกันเลย…”

คืนนั้นคุณกวินท์ได้ข้อสรุปหลายประการ เริ่มจาก…ประการแรก เรื่องของโยมจุ่ม และโยมติ๊กเดิมสองคนนี้อยู่กินฉันท์สามีภรรยา โดยที่อายุอานามห่างกันกว่าสิบปี 

ว่าไปมันก็เป็นเรื่องชาวบ้านๆธรรมดานี่แหละ ถ้าหากว่า…คู่กรณีไม่ใช่คนกับผี 

ลุงจุ่มคนผัวเมาหยำเป มีปากเสียงกับเมีย จนผู้หญิงก็หนีไปคบค้ากับหนุ่มคนอื่น ในขณะที่ตัวลุงจุ่มเองก็มีปัญหารุมเร้า ร่างกายก็ไม่ไหว สุดท้ายก็ต้องจากไปอย่างโดดเดี่ยว ศพก็ตั้งอยู่ในศาลาวัดเดียวกันนั่นเอง 

แต่ลุงจุ่มยังไม่ปล่อยวาง จะด้วยรักหรือชังก็ไม่ทราบ ต้องการให้นางติ๊กมาขอขมาศพเป็นครั้งสุดท้าย ซึ่งเป็นคำขอที่หลวงพี่ตบปากรับคำ แต่พอไปบอกโยมติ๊ก โยมติ๊กก็เกิดกลัวหรือละอายใจอย่างไร เลยไม่กล้ามาเคารพ นำมาซึ่งโทรศัพท์สายปริศนากลางดึกดังกล่าว

ประการที่สองคือ ความจริงของโทรศัพท์ปริศนา ที่ใช้งานได้ทั้งๆที่ไม่เสียบสาย หลวงพี่บอกว่า “มันก็เป็นอย่างที่ท่านเห็นนั่นแหละ” 

เดิมทีโทรศัพท์เครื่องนี้เจ้าอาวาสวัดท่านเคยเป็นคนดูแล ว่ากันว่าเป็นของปลุกเสก เป็นเครื่องมือสื่อกลางกับวิญญาณ โดยปกติมันไม่เคยดัง มันจะดังก็ต่อเมื่อมีคน(ผี) ต้องการความช่วยเหลือ และครั้งนี้ก็ไม่ใช่หนแรก

กระทั่งเจ้าอาวาสท่านอาพาธ หลวงพี่ท่านนี้ซึ่งเป็นศิษย์มีแวว จึงได้รับความไว้วางใจให้ดูแลต่อจะว่าไปโทรศัพท์เครื่องนี้ก็คือ “ศูนย์บรรเทาทุกข์ผี” ดีๆนี่เอง

Admin

13/01/2022

The Shock โคกะโหลกให้ผีดู

เรื่องผี “โคกะโหลก” นี้เป็นสายจากคุณแฮ็ก ช่างแต่งหน้าชื่อดังที่พี่ป๋อง กพลแกรู้จักในวงการ คุณแฮ็กเป็นสาวสอง บอกเล่าเรื่องราวสยองปนสยิวครั้งที่ยังเป็นวัยรุ่น ซึ่งเรื่องนี้เป็นที่ทอล์คออฟเดอะทาวน์ในข้ามคืน จากคำๆหนึ่งในรายการที่พี่ป๋องทักถามขึ้นว่า “เดี๋ยวนะแฮ็ก อะไรนะ โขกกะโหลกเหรอ?” “ไม่ใช่พี่ป๋อง โค..โคกะโหลก” จนเป็นไวรัลไปในโลกโซเชียล เรื่องผีมาแรงที่ทำพี่ป๋อง กพลต้องหน้าซีด แม้จะฟังเรื่องผี รับสายเรื่องผีมาเป็นพันๆสาย

เรื่องผี The Shock มีอยู่ว่า…ตัวคุณแฮ็กในสมัยสาวๆ ร่วมด้วยก๊วนเพื่อนสาวสอง มักจะมีกิจกรรมยามค่ำคืนที่เรียกกันว่า “คืนออกล่า” อยู่ ออกล่าที่ว่าก็คือล่าผู้นั่นเอง หลังจากที่ตกได้ผู้มาเป็นคู่ขากันครบ สถานที่ที่ทั้ง 6 ชีวิต 3 คู่ เลือกที่จะทำกิจกรรมสันทนาการร้องเพลงประสานเสียงก็คือ ตึกแถวร้างในซอยบ้าน

ตึกแถวที่ว่านี้อยู่ไม่ห่างจากบ้านคุณแฮ็กนัก คุณแฮ็กเล่าว่าค่อนข้างคุ้นเคยดี เพราะตนผ่านตลอด เคยเห็นตั้งแต่สมัยยังมีกิจการ มีคนอยู่ จนปัจจุบันกลายเป็นตึกร้างไปนานแล้ว อย่างไรก็ตาม ไม่เคยได้ยินมาก่อนว่าเคยมีใครเห็นผีสางหรือเรื่องเล่าลือแต่อย่างใด

เวลาล่วงเลยไปเที่ยงคืนกว่า บรรยากาศเงียบเชียบไร้ผู้คน เพื่อนคุณแฮ็กเข้าไปเปิดฟลอร์เป็นคู่แรก เวลาผ่านไปสักพักหลังรอดูเชิง คุณแฮ็กก็ควงคู่ตัวเองตามเข้าไป โดยที่มีคู่ที่สามยืนสแตนด์บายเฝ้าต้นทางไว้ กะว่าผลัดกันเข้าไปวาดลีลากันคนละเซ็ท สองเซ็ท

คุณแฮ็กแหวกประตูเหล็กพับเข้าไป ด้านในมืดตื๋อ แต่สิ่งที่ทำให้ความเร่าร้อนดังดวงดาวเมื่อพราวแสงของคุณแฮ็กดับมอดลงอย่างว่องไว ก็คือภาพแปลกๆที่ปรากฏตรงหน้า คุณแฮ็กเล่าว่า “เพื่อนหนูกำลังโคกะโหลกอยู่…พี่ป๋องงง”

พี่ป๋องก็ถามว่า “เดี๋ยวนะแฮ็ก โขก-กะ-โหลกเหรอ? โขกทำไม”

“ไม่ใช่พี่ โค…โค-กะ-โหลก” แต่พี่ป๋องก็ติดใจอยู่ตรงคำนี้ ว่ามันมีความหมายยังไง บางทีอาจจะรู้สึกว่ามันเป็นพิธีกรรมไสยศาสตร์หรือเปล่า คุณแฮ็กก็เลยถามพี่ป๋องว่า “พี่ พูดได้ใช่มั้ย” พี่ป๋องก็ยืนยันว่า…พูดได้สิ คนเรามีฟรีดอมออฟสปีช ทำไมจะพูดไม่ได้ล่ะ

“เพื่อนหนูมันดูด___ให้ผู้ชายอยู่ค่ะ”

พี่ป๋องเลยถึงกับหลุด สตั๊นท์ไปนับครึ่งนาทีเพื่อตั้งสติ และบอกว่าพี่ผิดเองในจุดนี้ คุณแฮ็กจึงได้เริ่มเล่าต่อ ว่าเพื่อนนางกำลังนั่งคุกเข่าแล้วเป่าปี่ให้ผู้ที่ยืนพิงกำแพงอยู่ แต่ประเด็นคือไม่ได้มีแค่คุณแฮ็กกับคู่ที่ยืนดูภาพนั้นอยู่ ถัดไปอีกด้านในมุมมืดๆกลางห้อง มีชายแก่รูปร่างผอม ใส่เสื้อจีนกางเกงขาก๊วย นั่งยองๆแล้วจ้องสายตาไปที่พิธีโคกะโหลกอยู่เช่นกัน แขกที่ไม่นึกว่าจะได้พบในสถานที่รกร้างนั่นต่างหาก ที่ทำให้คุณแฮ็กตกใจ

กระทั่งเพื่อนสาวคุณแฮ็กรู้สึกตัวเลยหันมาพบกคุณแฮ็ก แล้วส่งสายตาสงสัยไปเพราะปากไม่ว่าง ราวกับจะถามว่า อำไออึงไอ่ไออำอันอั่งอู้น คุณแฮ็กก็ค่อยๆหันหน้าไปมองทางคนแก่เป็นคำตอบแทน เพื่อนสาวมองตามไปก็ตกใจ เพราะตอนเข้ามาทีแรกก็ไม่มีใครแน่ๆ ไม่งั้นใครจะกล้าโซโลทรัมเป็ทกลางคาร์เนกี้ฮอล์

กลายเป็นว่าทั้งสามฝั่ง ผลัดกันมองกลับไปกลับมาอยู่ครู่นึง ใจคุณแฮ็กคืออยากวิ่งมาก แค่มันก้าวไม่ออก จู่ๆคนแก่ตัวบางที่นั่งยองๆก็ค่อยๆลุกขึ้นยืนและยืดดด ภาพที่เห็นคือ หัวแกสูงติดเพดาน…เพดานในตึกที่สูงเกือบ 3 เมตร แต่ไม่ว่าจะสูงแค่ไหน หัวลุงแกก็ไปถึง ตอนนี้เพิ่งสังเกตเห็นว่าด้านหลังลุงมีตี่จู่เอี๊ยะหรือศาลจีนตั้งพื้นวางอยู่

ถึงตอนนั้นไม่ต้องมีใครให้สัญญาณ นักวิ่งผลัด 4×100 ก็พร้อมออกตัวทันที เป้าหมายคือออกจากประตูให้ได้ แล้วไปที่มอ’ไซค์ ซึ่งหลังจากวันนั้นก็ทำให้คุณแฮ็กขยาดที่จะผ่านตึกหลังนั้น รวมทั้งเลิกแสดงสดโอเปร่ายามค่ำคืนไปเลย ภายหลังคุณแฮ็กและเพื่อนเข้าใจว่านั่นน่าจะเป็นศาลของเจ้าที่เจ้าทางของตึกแห่งนั้นมาก่อน กระทั่งตึกร้างไปแล้วไม่ได้มีการมาทำพิธีนำออกไปด้วย เลยยังมีเจ้าที่สิงอยู่ ถึงแม้ปกติจะไม่มีใครพบเจอ แต่การมาเยือนโดยไม่ได้แจ้งเตือนมาก่อนของคุณแฮ็กละคณะ รวมทั้งการแสดงอันฉูดฉาด น่าจะสร้างความประทับใจให้ท่านไม่น้อย จนท่านต้องปรากฎตัวออกมาห้ามปราม เรื่องก็มีเท่านี้

Admin

03/01/2022

เหตุจากมาม่า ผีตัวเปียกมาหลอก

สมัยที่ “คุณนัท” ยังเรียนอยู่มหาวิทยาลัยแล้วต้องไปฝึกงานตามโรงแรม ก็มักจะยกแก๊งกันไปฝึกงานที่ภูเก็ต แล้วก็ไปอาศัยบ้านว่างๆของคนที่เพื่อนรู้จักนอน เค้าไม่คิดค่าเช่าเลย คิดเพียงค่าน้ำค่าไฟ แต่สิ่งที่แปลกก็คือบ้านหลังนี้เป็นหลังเดียวในหมู่บ้านที่ไม่มีศาลพระภูมิ แต่เพื่อนๆก็ไม่ได้คิดอะไรมาก มีแต่คุณนัทที่รู้สึกไม่ค่อยดีอยู่คนเดียว ก็เลยชวนเพื่อนจุดธูปไหว้เจ้าที่

ผ่านไปเดือนนึงก็ไม่มีเหตุการณ์อะไรผิดปกติ มีแค่ความรู้สึกเหมือนโดนจ้องอยู่ตลอดเวลาของคุณนัทเพียงคนเดียว วันนึงทั้งแก๊งก็ยกพวกไปเที่ยวกันในตัวเมือง แต่พอขากลับเพื่อนคุณนัทเป็นคนขับ พอขับมาจะถึงบ้านแทนที่จะจอดรถกลับขับเลยตัวบ้านไปเลย

คุณนัทก็สงสัยว่าจะขับเลยบ้านทำไม ลืมบ้านตัวเองหรอ เพื่อนก็ถามกลับว่าเห็นผู้หญิงใส่ชุดขาวๆนั่งหน้าบ้านมั้ย.. ซึ่งคุณนัทไม่เห็นว่ามีใครเลย พอขับวนกลับมาดูอีกรอบคุณนัทก็ลงไปดูเองกับตา ก็ไม่เห็นมีใคร เพื่อนก็เลยขับเข้ามาจอดตามปกติ

ขณะที่ทุกคนลงจากรถเตรียมจะเข้าบ้านนั้นเอง หมวกกันน๊อคที่วางคว่ำไว้อยู่แถวนั้น อยู่ดีๆก็หงายขึ้นมาเองเฉยๆ ทั้งที่ไม่มีลมหรืออะไรไปสัมผัสเลย ทุกคนตกใจก็รีบวิ่งเข้าบ้านกันหมด คืนนั้นระหว่างที่นอนๆอยู่คุณนัทก็ฝันว่าลงไปต้มมาม่าแล้วมานั่งกินตรงห้องนั่งเล่น กินเสร็จก็จะมานอน ตอนนั้นเองก็เห็นผู้หญิงคนนึงใส่ชุดคนไข้ของโรงพยาบาล ผมยาวปิดหน้า มายืนชี้หน้าบอกว่า พวกมึงเก็บให้หมดเลยนะ เดี๋ยวนี้เลย แล้วคุณนัทก็ตื่น

ตื่นมาก็เห็นว่าบ้านตัวเองนั้นรกมากเพราะอยู่กันตามประสาชายหนุ่ม เลยเข้าใจว่าเค้าคงมาบอกให้เก็บบ้าน แต่เพื่อนที่อยู่ข้างๆนั้นก็ตื่นอยู่เหมือนกันแล้วก็งงว่าคุณนัทเป็นอะไร เพราะคุณนัทนอนๆอยู่แล้วก็พูดว่าพวกมึงเก็บให้หมดเลยนะ แต่เสียงที่ออกมานั้นเป็นเสียงผู้หญิง ไม่ใช่เสียงคุณนัท

หลังจากเหตุการณ์นี้ทุกคนก็เริ่มกลัวๆกัน แต่คุณนัทก็บอกว่าไม่มีอะไรมากหรอก ก็เราทำบุญจุดธูปไหว้ไปแล้วนี่ ทั้งที่ในใจคุณนัทเองก็ยังหวั่นๆนั่นแหละ

วันนึงเพื่อนๆก็แยกย้ายกันไปเที่ยวแล้วไปนอนตามบ้านสาวบ้าง บ้านเพื่อนบ้าง เหลือคนนอนที่บ้านหลังนี้แค่สี่คน คุณนัทก็เหมือนจะฝันอีก แต่อารมณ์เหมือนกึ่งหลับกึ่งตื่น เห็นเป็นผู้หญิงคนเดิมมายืนชี้หน้าด่า แต่คราวนี้ไม่รู้ว่าด่าอะไร ฟังไม่ออก แล้วเธอก็ปิดประตู แล้วประตูเปิดออกอีกครั้งหนึ่งแต่ไม่มีใครยืนอยู่

เออ ไม่มีคนยืนอยู่ก็จริง แต่เป็นผู้หญิงคนเดิมตัวเปียกๆ ค่อยๆคลานเข้ามาหาคุณนัทซึ่งนอนอยู่บนเตียง น้ำก็หยดมาเป็นทางเรื่อยๆ แล้วก็หายไปตรงปลายเตียง.. จากนั้นเธอก็คลานขึ้นมาบนเตียง ค่อยๆไต่ขึ้นมาบนตัวคุณนัท จากขา มาเอว จนกระทั่งเอามือกดที่ไหล่คุณนัทไว้

ตอนนั้นผมของเธอปิดหน้าอยู่ แล้วเธอก็เอามือเสยผมตัวเองขึ้น คุณนัทเห็นเป็นตาเท่าตาคนปกตินี่แหละ แต่ตาขาวทั้งดวง แล้วเธอก็ฉีกยิ้มให้ ปากกว้างจนเกือบถึงหู ฟันก็ไม่เหมือนคน แต่เป็นหยักๆเหมือนปลาฉลาม

คุณนัทตกใจแล้วเลยนึกถึงพ่อถึงแม่ถึงพระ ด้วยอำนาจของอะไรก็แล้วแต่ คุณนัทก็สลัดตัวหลุดจากภวังค์ได้ เธอคนนั้นไม่อยู่แล้ว เพื่อนก็ไม่ได้นอนอยู่ข้างๆเช่นกัน แต่เพื่อนทุกคนไปยืนกองกันอยู่ที่มุมห้อง แล้วถามมาว่ามึงชื่ออะไรวะ

คุณนัทก็งง จังหวะกำลังตกใจจากผีก็อยากให้เพื่อนมาอยู่ใกล้ๆ แต่เพื่อนดันไปอยู่ซะห่างแล้วถามอะไรแปลกๆอีก พอเคลียร์กันเสร็จ เพื่อนมั่นใจว่าคุณนัทไม่ได้เป็นอะไรแน่ก็เลยเล่าให้ฟังคุณนัทนอนๆอยู่ก็ตะโกนออกมาเป็นเสียงผู้หญิง แต่พูดภาษาอะไรไม่รู้ไม่ใช่ภาษาไทย เพื่อนๆก็เลยกลัวกัน

พอเพื่อนเล่าเสร็จก็จะเช่าพอดี คุณนัทก็มาสังเกตสภาพรอบๆตัว ปรากฎว่ามีรอยน้ำจากหน้าประตูยาวมาถึงตัวคุณนัท ผ้าห่มและที่นอนเปียกน้ำด้วย แขนสองข้างก็มีรอยช้ำเป็นรอยมือคน แสดงว่าเรื่องเมื่อคืนไม่น่าจะเป็นแค่ฝันสินะ

หลังจากนั้นไม่นานคุณนัทก็ฝึกงานเสร็จพอดีก็เอาค่าน้ำค่าไฟไปจ่ายให้เจ้าของบ้าน เลยสบโอกาสถามว่าบ้านนี้มีอะไร ทีแรกเจ้าของบ่ายเบี่ยงไม่ยอมตอบ แต่สุดท้ายก็ยอมพูดให้ฟังว่าลูกสาวเจ้าของบ้านคนแรกเค้าป่วยแล้วลื่นล้มในห้องน้ำจนเสียชีวิต เตียงที่คุณนัทนอนก็เคยเป็นเตียงของเธอมาก่อน

แล้วที่ไม่มีศาลพระภูมิก็เพราะพอจะตั้งศาลทีไรก็ต้องมีเหตุการณ์ให้ศาลล้มศาลพังตลอดนั่นเอง

ขอบคุณที่มาเรื่องเล่าผี : FB เรื่องลี้ลับ ตำนาน ประวัติศาสตร์

Admin

14/07/2020

เรื่องเล่าผี | หญิงผู้มาซื้อของ…สำหรับงานศพตัวเอง

มีเรื่องเล่าผีเรื่องหนึ่ง ที่นับว่าแปลกมากเหมือนกัน มีผู้ใช้เฟสบุ๊คหญิงท่านนึงเคยเล่าเอาไว้ เกี่ยวกับประสบการณ์ที่ตนพบเจอ ตอนมีคนมาขอซื้อการบูรที่ร้าน 

ตอนนั้นดึกมากแล้ว นาฬิกาบอกเวลา 5 ทุ่มกว่าๆ ตามปกติแล้วร้านขายดอกไม้สดอย่างที่นี่ ไม่ค่อยจะมีลูกค้าแวะเวียนมาในช่วงเวลาแบบนี้นัก หญิงสาวผมสั้นที่มาเยือนในค่ำคืนนั้น เจ้าของร้านจึงจดจำได้อย่างชัดเจน 

ลูกค้านิรนามมาถามหาเครื่องหอมการบูร เจ้าของร้านก็ให้การต้อนรับ พร้อมสอบถามแนะนำเป็นอย่างดี

“น้องต้องการซื้อไปใช้แบบไหนคะ?”

“เผอิญที่บ้านมีงานศพ จะซื้อไปใส่ในโลงน่ะค่ะ”

ด้านแม่ค้าก็ให้คำแนะนำ… “โลงมีกลิ่นเหรอคะ? ถ้าแบบนั้น ใช้การบูรซัก 2 ก.ก. น่าจะเพียงพอ”

“ว่าแต่บ้านอยู่ตรงไหนเอ่ย ทางร้านไปช่วยจัดการให้ ได้นะคะ?”

ลูกค้านิรนามตอบกลับ… “ไม่ไกลค่ะ ห่างจากที่นี่ออกไปราว 10 ก.ม. งานจัดอยู่ริมทางเลยเข้าไปจะเห็นทันที”

แม่ค้าหายเข้าไปในร้าน จัดแจงตวงการบูรบนตาชั่ง เข็นบนนั้นขยับเข้าใกล้เลข 2 เลยตักเพิ่มอีกช้อน แถมเพิ่มไปนิดหน่อย

อย่างไรก็ตามแม่ค้าเข้าไปในร้านไม่ถึง 3 นาที แต่ว่าบัดนี้ ลูกค้าผู้มาเยือนยามวิกาลไม่อยู่ที่หน้าร้านแล้ว…

ตัวแม่ค้าเองไม่ได้ติดใจอะไรมาก แค่คิดไปว่า สงสัยตนจะเรื่องมาก ไปถามซอกแซกจนลูกค้ารู้สึกไม่ดี เลยไปหาร้านอื่นแทนรึเปล่า เลยวางถุงการบูรที่พึ่งตักลงบนโต๊ะแคชเชียร์ในร้าน แล้วลืมเรื่องนี้ไป

กระทั่งวันรุ่งขึ้น ก็มีลูกค้ามาถามซื้อพวงหรีดจากทางร้าน แม่ค้าก็สอบถามได้ความว่างานจัดที่บ้านป่าบาก ซึ่งเทียบระยะทางแล้วห่างจากที่ร้านไป 10 ก.ม. พอดี แม่ค้าเลยนึกขึ้นได้แล้วเอ่ยปากถาม…

“ที่…งานจัดอยู่ริมทางรึเปล่าคะ เผอิญเมื่อคืนมีน้องผู้หญิงมาถามซื้อการบูรที่ร้านเหมือนกัน บอกว่าจะนำไปใส่โลงงานศพที่บ้าน ห่างไป 10 ก.ม.”

ลูกค้าที่มาซื้อพวงหรีดมีท่าทีปะหลาดใจระคนตกใจ ก่อนสอบถามว่า…ลูกค้าคนนั้นรูปร่างหน้าตาเป็นอย่างไร แม่ค้าก็เล่ารูปพรรณสัณฐานให้ฟัง ว่าเป็นหญิงรู้ร่างท้วม ผมสั้นย้อมสีเหลืองทอง สวมชุดสีดำสนิท แต่แทนที่ลูกค้าพวงหรีดจะตอบหรือเอ่ยปากอะไร กลับดึงบางอย่างออกมาจากกระเป๋าถือ มันเป็นรูปถ่ายบุคคลใบหนึ่ง ซึ่งพอแม่ค้าได้ดูชัดๆก็จำได้ทันทีว่า…เป็นคนเดียวกันกับที่มาถามหาซื้อการบูรเมื่อคืน

“คนนี้ใช่มั้ยที่มาซื้อ? น้องเป็นหลานพี่เอง และ…เป็นเจ้าของงานศพด้วย”

“น้องประสบอุบัติเหตุรถชน พึ่งเสียไปเมื่อไม่กี่วันก่อน…”

แม่ค้าได้ยินจบก็เข่าแทบทรุด เหงื่อกาฬไหลพลั่ก จนต้องพิงตัวกับโต๊ะ พยายามคิดทบทวนในหัว หาเหตุและผลว่า… ถ้าเรื่องที่ได้รับฟังเมื่อครู่เป็นความจริง แล้วใครล่ะ ที่มาพบเธอเมื่อคืน? กระทั่งในที่สุดก็ยอมรับได้ว่า นี่ไม่ใช่รายการจ้อจี้ ทุกอย่างเกิดขึ้นจริงๆ และมันไม่ใช่ความฝัน

“เสียใจด้วยนะคะ! คือ…ยังไงไม่รู้ล่ะ แต่หนูฝากการบูรถุงนี้ไปร่วมทำบุญกับงาน พร้อมพวงหรีดอันนี้เลย แล้วกันนะคะ”

อย่างไรก็ตาม มีลูกค้าคนเดิมกลับมาที่ร้านอีก แต่คราวนี้ไม่ได้มาเพื่อซื้ออะไร หากแต่กลับมาบอกว่า… 

มันออกจะแปลกอยู่เหมือนกัน ที่โลงเกิดไม่เย็นโดยไม่มีใครรู้ พอเปิดฝาออก ก็พบว่ามีกลิ่นการบูรที่ฝากไปได้ใช้งานพอดี

เรื่องนี้อาจจะไม่มีข้อสรุปชัดเจน แต่หากลองคิดต่อดู… เป็นไปได้มั้ยว่า “เมื่อคืนนั้น เป็นตัวคนตายเอง ที่ออกมาหาซื้อการบูร”

ขอบคุณที่มา : ผู้ใช้เฟสบุ๊ค Ratiyapron

Admin

12/07/2020

พระยังกลัว! เขื่อนที่ดูดคนลงไปจมบ่อยๆจนเฮี้ยน

#เขื่อนประตูผี
เล่าโดย : คุณบอย จาก เดอะช็อค เรดิโอ

    เป็นประสบการณ์ที่รุ่นพี่เล่าให้ฟัง เรื่องทั้งหมดเกิดขึ้นที่หมู่บ้านแถวย่านพุทธมณฑล เมื่อสิบกว่าปีที่ผ่านมา บ้านของรุ่นพี่ จะอยู่ข้างๆกับหมู่บ้านนึง หมู่บ้านนี้จะไม่ค่อยมีคนอยู่ เพราะสร้างเสร็จแล้วจะขาย แต่ก็ขายไม่ได้

    ส่วนทางเข้าหมู่บ้านจะลึก และเปลี่ยวมาก แท็กซี่กับวินมอเตอร์ไซค์จะไม่กล้าเข้าไป บ้านของรุ่นพี่จะต้องใช้เส้นทางเข้าหมู่บ้านนี้ แล้วอ้อมไปข้างๆหมู่บ้าน ก็จะเป็นสวน แล้วต้องผ่านสวนเข้าไป จึงจะถึงบ้าน

    แต่เพราะรุ่นพี่ไม่กล้าใช้เส้นทางเข้าหมู่บ้าน ก็ใช้วิธีพายเรือข้ามฝากไป จากถนนใหญ่ข้างนอก ที่สามารถพายเรือไปถึงบ้านได้ เลยลงไปทางหมู่บ้านนิดหน่อย จะมีเขื่อนที่เรียกกันว่าประตูผี จะเป็นทางน้ำหักศอก ตรงประตูเขื่อน น้ำจะวนอยู่กับที่ แล้วดูดลงไปข้างล่าง

    ตอนนั้นรุ่นพี่เลิกงานกลับมาถึง ก็เห็นพวกกู้ภัยมากันหลายคัน ก็คิดว่าสงสัยจะมีคนตายอีกแล้ว รุ่นพี่จึงเดินเข้าไปถาม “พี่ มีคนตายหรอ” กู้ภัยบอกว่า “ใช่ เรือถูกน้ำดูด เรือไปกระแทกกับประตูเขื่อนแตก” แล้วกู้ภัยที่จะลงไปช่วย ต้องใช้เชือกสองเส้นใหญ่ๆ เพราะน้ำตรงนั้นจะดูดแรงมาก

    ศพไปจมอยู่ใต้ประตูเขื่อน เพราะน้ำไม่พัดขึ้นมา แต่จะม้วนวนอยู่ข้างล่างตลอด และนี่ก็ไม่ใช่รายแลก หลายรายที่เอาชีวิตมาทิ้งตรงนี้ เพราะมันเป็นทางหักศอก ถ้าหลุดเข้าไปแม้แต่นิดเดียว น้ำจะดึงเข้าไปตีกับประตูเขื่อน แตกหมดทุกลำ จึงได้มีคนออกมาเตือนว่า เวลาน้ำขึ้น ห้ามพายเรือไปตรงนั้น

    มีอยู่วันนึง ตอนที่รุ่นพี่เลิกงาน ก็ได้ไปเที่ยวกับเพื่อน แล้วกลับมาดึก ตอนเช้าของวันนั้น คุณน้าได้กำชับกับรุ่นพี่ว่า “วันนี้อย่ากลับดึกนะ เพราะมันเพิ่งมีคนตายใหม่ๆ แล้วไม่รู้ว่าไอ้เขื่อนตรงนั้น มันจะเอาอีกสักกี่คน ถึงจะพอ”

    พอรุ่นพี่เดินมาถึงที่เรือ ก็ปลดเชือกผูกเรือ แล้วก็พายเรือกลับ ช่วงที่ผ่านสวนมะพร้าว ก็ได้ยินเสียงคนพายเรือตามมาจากข้างหลัง รุ่นพี่ก็อุ่นใจที่มีเพื่อนร่วมทาง พอจังหวะที่รุ่นพี่ยกไม้พายขึ้นมาบนเรือ เสียงพายเรือข้างหลังก็เงียบ

    พอเอาไม้พายจ้วงลงน้ำแล้วพาย ก็ได้ยินเสียงพายเรือมาจากข้างหลังเหมือนกัน รุ่นพี่ก็เอะใจ แต่ก็ยังไม่หันไปดู จึงพายเรือจนเลยสวนมะพร้าวไป อีกไม่เท่าไหร่ก็จะถึงบ้าน

    รุ่นพี่จึงหันหลังไปดู ปรากฏว่าเห็นผู้หญิงผมยาว นั่งอยู่บนโลงศพ แล้วใช้มือที่ใหญ่กว่าคนปกติประมาณสิบเท่าทั้งสองข้าง กวักลงน้ำ ค่อยๆพายโลงศพไล่หลังเข้ามาเรื่อยๆ “จ๋อม…จ๋อม…จ๋อม”

    รุ่นพี่มองตาเหลือก ตัวแข็งทื่อ ทำอะไรไม่ถูก คุณน้าของรุ่นพี่ ที่ยืนรออยู่ตรงศาลาท่าน้ำ รีบกระโดดลงน้ำ แล้วลากเอาเรือของรุ่นพี่เข้าเทียบศาลา แล้วรีบลากแขนรุ่นพี่เข้าไปในบ้าน พร้อมกับพูดว่า “อย่าหันไปมอง เอ็งรีบขึ้นบ้านก่อน”

    คุณน้าลากรุ่นพี่เข้าไปในห้องพระ แล้วยกพระพุทธรูปองค์ใหญ่มาให้รุ่นพี่ รุ่นพี่ก็นั่งกอดพระพุทธรูปตัวสั่นปากสั่น สักพักก็เริ่มสงบสติได้ จึงได้ถามคุณน้า แต่คุณน้าตอบกลับมาว่า “เอ็งไม่ต้องพูดอะไร เดี๋ยวพรุ่งนี้ไปวัดด้วยกัน” คืนนั้นรุ่นพี่นอนกอดพระพุทธรูปตัวสั่นทั้งคืน ส่วนคุณน้าก็นั่งเฝ้าอยู่ทั้งคืน

    เช้ามา คุณน้าก็ได้พารุ่นพี่ไปวัด หลวงพ่อท่านบอกว่า “ต้องให้มันอยู่ในโบสถ์สามวัน ไม่งั้นคงไม่รอด” รุ่งพี่จึงได้เข้าไปอยู่ในโบสถ์ หลวงพ่อท่านก็เอาสายสินญ์มาพันไว้รอบๆโบสถ์ แล้วขึงด้านในไว้อีกหนึ่งชั้น

    แล้วคุณน้าก็กำชับว่า “ให้ทำตามที่หลวงพ่อบอก ถ้ายังไม่อยากตาย” แล้วหลวงพ่อก็พูดขึ้นมาว่า “ถ้าเห็นอะไร ได้ยินเสียงอะไร อย่าออกนอกสายสินญ์ อย่าออกนอกประตูโบสถ์ อยู่ในเสมาของโบสถ์ เดี๋ยวจะให้พระกับเณรมาเฝ้า”

    แม้แต่ช่วงกลางวัน หลวงพ่อท่านก็บอกว่า ถ้าไม่จำเป็นก็อย่าออกมานอกโบสถ์ ถ้าปวดก็ให้ใช้กระโถนไปก่อน ตกกลางคืน ประมาณสามทุ่ม รุ่นพี่ได้ยินเสียงคนพายเรือ อยู่หน้าท่าน้ำวัด “จ๋อม…จ๋อม…จ๋อม” สักพักก็เงียบ อีกสักพักเสียงก็มาอีก

    เณรที่มาเฝ้า ต่างเอาจีวรคลุมโปงแล้วนอนกอดกันตัวสั่น รุ่นพี่จึงบอกกันเณรว่า “เณร ลองเปิดหน้าต่างโบสถ์แล้วดูที่ท่าน้ำหน่อย ใครพายเรืออยู่อ่ะ” เณรตอบว่า “ไม่กล้าดูหรอก ผมก็กลัว”

    จนเข้าคืนวันที่สาม เป็นวันพระใหญ่พอดี วันนี้มีทั้งพระและเณรมาอยู่เป็นเพื่อนหลายรูป แต่วันนี้ รุ่นพี่ขอให้เปิดประตูโบสถ์เอาไว้ เพราะอยากจะรู้ว่ามันคืออะไรกันแน่ ที่พายเรืออยู่ที่ท่าน้ำวัด

    เวลาประมาณห้าทุ่มเกือบๆเที่ยงคืน ก็ได้ยินเสียงพายเรือเหมือนเดิม “จ๋อม…จ๋อม…จ๋อม” รุ่นพี่จึงหันไปมองที่ท่าน้ำวัด ปรากฏว่าเห็นหัวคน ค่อยๆโผล่ขึ้นมาที่ท่าน้ำ ลักษณะคอยาวๆ หน้าตอบๆซีดๆ ดวงตากลวงโบ๋ แสยะยิ้มให้รุ่นพี่

    แล้วเสียงพายก็ยังดังอยู่ตลอด “จ๋อม…จ๋อม…จ๋อม” จนรุ่นพี่ช็อคนั่นตัวแข็งอยู่กลางโบสถ์ พระกับเณรรีบวิ่งไปปิดประตูหน้าต่าง แล้วรีบไปอยู่รวมกันที่กลางโบสถ์ เณรตะโกนลั่นโบสถ์ว่า “ช่วยด้วยๆๆ”

    จนหลวงพ่อกับสัปเหร่อได้ยินเข้า จึงรีบวิ่งมาหา ก็เห็นทั้งพระทั้งเณรแล้วก็รุ่นพี่ นั่งกอดกันกลมอยู่กลางโบสถ์ หลวงพ่อท่านก็บอกว่า “คืนนี้เอ็งพ้นแล้วหละ เค้าไปเอาคนอื่นแล้ว”

    รุ่นเช้าของวันถัดมา คุณน้าก็ได้มาหารุ่นพี่ที่วัด แล้วบอกว่า “มีผู้หญิง ตายอยู่หน้าประตูเขื่อนเมื่อคืน” จากนั้นหลวงพ่อก็ทำพิธีเรียกขวัญ รดน้ำมนต์ให้ทั้งเณรทั้งพระแล้วก็รุ่นพี่

    คุณน้าบอกว่า “คนที่ตาย เป็นลูกสาวของคนรู้จัก ไปพายเรืออีท่าไหนไม่รู้ โดนน้ำม่วนลงไป ศพไปติดอยู่ตรงหน้าประตู” และนี่ก็คือเรื่องราวทั้งหมด

Admin

09/07/2020

เรื่องผีจากศิลปินดัง..สยองที่หนองจอก

เรื่องนี้เป็นประสบการณ์ที่นักร้อง R&B สายหมีชื่อดังอย่าง “ป๊อบ ปองกูล สืบซึ้ง” ได้นำมาเล่าในรายการ “Campปลิ้น” ซึ่งเป็นรายการวาไรตี้ของโคตรคูลแชแนล ที่มีธีมเป็นการออกแคมป์เดินป่าและก่อกองไฟเสมือน และในตอนหนึ่งที่ได้มีการเล่าเรื่องผีรอบกองไฟกัน โดยเรื่องเล่าของคุณป๊อบนั้น พูดถึงเรื่องราวที่มีจุดเริ่มต้นจากความทรงจำในวัยเด็ก เคยเดินทางผ่านถนนตัดใหม่เส้นหนองจอกเข้ากรุงเทพฯ ในยามวิกาล ซึ่งในสมัยนั้นทางยังคงเปลี่ยวมาก จู่ๆก็พบเจอกับสิ่งที่ชวนตกตะลึง แต่ด้วยความที่ยังเด็กก็ไม่ได้คิดอะไรมาก แต่มันยังเป็นภาพจำที่ฟังลึกอยู่ในในเสมอมา จนกระทั่งวันหนึ่งเมื่อโตขึ้น แล้วมีโอกาสได้กลับไปยังถนนเส้นนั้น เหตุการณ์สยองขวัญที่กลับมารื้อฟื้นความทรงจำ…ก็ได้เริ่มขึ้น!

เรื่องเล่าสยองขวัญ: เรื่องสยองที่หนองจอก

ผู้เล่า: ป๊อบ ปองกูล

ที่มาเรื่องเล่าผี: Campปลิ้น โคตรคูล channel

ย้อนกลับไปเมื่อหลายสิบปีก่อน สมัยที่คุณป๊อบยังอยู่ในชั้นปฐมศึกษา เนื่องจากตอนนั้นยังอาศัยอยู่ในจังหวัดปราจีนบุรี และมีโอกาสได้ติดสอยห้อยตามคุณแม่เข้ากรุงเทพอยู่บ่อยๆ คืนหนึ่งคุณแม่ของคุณป๊อบได้เลือกที่จะใช้เส้นทางสายหนองจอก เพื่อจะลัดการเดินทางเข้ากรุงเทพ คุณป๊อบเล่าว่าสมัยนั้นทางเส้นนี้พึ่งตัดได้ไม่นาน ทำให้ยังไม่ค่อยได้รับความนิยมจากผู้ใช้ถนนหนทางในช่วงเวลานั้น ทางจึงค่อนข้างจะเปลี่ยวร้างผู้คน หากพูดให้เห็นภาพกว่านั้นคือ บางทีตลอดการเดินทางไปกรุงเทพ อาจจะไม่เจอรถร่วมทางเลยสักคันก็มีเหมือนกัน

อย่างไรก็ตาม…ไม่ว่าจะโชคร้ายหรือโชคดี คืนนั้นก็มีรถร่วมทางสายเดียวกันคันหนึ่ง หลังจากคุณป๊อบตื่นขึ้นมาที่เบาะหลังในช่วงกลางดึก เมื่อมองออกไปนอกหน้าต่างด้านข้างแถวหลังผู้โดยสารของรถเก๋ง ก็พบกับรถกระบะโฟร์วีลคันหนึ่ง ทุกอย่างก็ดูปกติดีทุกอย่างเว้นก็แต่เพียง…บนรถคันนั้นกลับมีร่างของใครบางคน ยืนเกาะรถโต้ลมอยู่ด้านข้าง ราวกับกำลังโต้คลื่นอยู่บนเสริ์ฟบอร์ดก็ไม่ปาน! ยิ่งในเวลากลางค่ำกลางคืนแบบนี้ มันทำให้ภาพตรงหน้ายิ่งดูประหลาดจนชวนขนลุก คุณป๊อบเอ่ยปากถามแม่ด้วยความสงสัย “แม่…นั่นอะไรอ่ะ” แต่คุณแม่ของเขาไม่ได้ให้คำตอบกลับมา บอกเพียงแต่ว่า “ไม่ต้องถาม” แล้วรีบตบเกียร์เร่งรถขึ้นจนแซงทิ้งรถคันดังกล่าวหายไปในความมืด…

ผ่านไปสิบกว่าปี เรื่องนี้ก็ดูเหมือนจะห่างหายไปจากความทรงของคุณป๊อบ แต่ความจริงแล้ว “ไม่เลย” มันยังคงเป็นภาพจำที่ฝังลึกอยู่ในซอกหลืบของจิตใจ ในวันที่คุณป๊อบกลายมาเป็นนักร้องแล้ว ก็มีโอกาสได้ร่วมเดินทางกลับไปร่วมงานบวชของเพื่อนที่จังหวัดปราจีนร่วมกับเพื่อนๆอีกจำนวนหนึ่งจากกรุงเทพ ทุกอย่างหมุนกลับมาอีกครั้งไม่ว่าจะเป็นการเดินทางในช่วงกลางคืน และเส้นทางสายหนองจอก ระหว่างที่เดินทางมาด้วยรถส่วนบุคคลผ่านทางนี้ คุณป๊อบก็เกิดนึกถึงความทรงจำสมัยเด็กขึ้นมาได้ ก่อนจะออกปากเล่าให้เพื่อนๆในรถฟัง เพื่อเป็นการคร่าเวลา “เห้ย..พวกเมิง กรุมีเรื่องจะเล่าให้ฟังว่ะ”

คุณป๊อปก็เล่าเรื่องที่เคยพบเจอในถนนแถบนี้ให้ฟัง เนื่องจากจำได้คลับคล้ายคลับคลาว่ารถเดินทางมาใกล้กับจุดเกิดเหตุในวันนั้นพอดี สร้างความตื่นเต้นครื้นเครงในหมู่คณะ แต่พอเล่าจบ…ก็เกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันขึ้น จู่ๆรถที่เดินทางอย่างคล่องแคล่วมาตลอดทางก็ทำท่าจะดับลงอย่างกระทันหัน คุณป๊อบเลยบอกให้เพื่อนพยายามประคองรถไปจอดเข้าข้างทางก่อนโค้งใหญ่ด้านหน้า สองข้างทางมืดไปหมดมีเพียงแสงไฟสลัวๆ อย่าว่าแต่เคหะสถานหรือร้านสะดวกซื้อ รถสักคันที่ผ่านมาก็ยังไม่เห็น คุณป๊อบกับเพื่อนพากันลงมาจากรถ ช่วยกันดูว่าเครื่องยนต์มีปัญหาอะไรรึเปล่า หม้อน้ำแห้งมั้ย ยืนชุลมุนกันอยู่ตรงนั้นกว่าครึ่งชั่วโมง

ดูเหมือนโชคจะเข้าข้างอยู่บ้าง ที่จู่ๆก็มีรถแท็กซี่ขับผ่านทางมาพอดี แล้วไถ่ถามว่ารถเป็นอะไร เสียหรือ? คุณป๊อบจึงเข้าไปคุยและอธิบายเหตุการณ์ และต้องการนั่งรถไปตามช่างมาช่วยดู แต่คุณลุงขับแท็กซี่ตกลงที่จะช่วยเหลือด้วยการลากรถไปในเขตชุมชน คงมีแค่ทางนี้เท่านั้น ในที่สุดทั้งแท็กซี่และรถของคุณป๊อบก็ออกมาถึงหน้าสถานีตำรวจใกล้ๆได้อย่างปลอดภัย ก็ขอบคุณคุณลุงกันยกใหญ่ โดยลุงบอกไว้ว่า “ถ้าลุงไม่ช่วยก็ไม่รู้จะรอดมั้ย แถวนี้โจรก็มี ผีก็ดุ” ทันใดนั้นจู่ๆรถที่นิ่งสนิทไม่มีที่ท่าว่าจะกลับมาวิ่งได้อีก ก็เกิดสตาร์ทติดขึ้นมาเสียเฉยๆ ราวกับไม่เคยดับมาก่อน

หลังจากเหตุการณ์ชวนพิศวงผ่านพ้นไป ทุกคนก็เตรียมตัวเดินทางออกจากหน้าสถานีตำรวจเพื่อไปปราจีนบุรีกันอีกครั้ง แต่ระหว่างนั้นก็หยิบยกเรื่องนี้ขึ้นมาเป็นบทสนทนากันอีกครั้ง “เชี่ยย…เมื่อกี้แมร่งอะไรวะ อยู่ๆก็ดับเฉยเลย” รถยังไม่ทันออกไปได้เท่าไหร่จู่ๆก็มีหมาดำทมิฬตัวใหญ่ กระโดดผ่านตัดหน้ารถไป ทำให้เพื่อนที่ขับต้องเบรคกระทันหัน “เอี๊ยยยยยยยยยยด~” เรียกว่าหน้าคะมำกันอย่างพร้อมเพรียงโดยมิได้นัดหมาย! “เห้ยย เชี่ยยอะไรอีกวะเนี่ย…”

“แต๊นนนนนนนนนนนนนนนนนนนนน~”

เสียงของแตรรถดังค้างออกมายาวๆ โดยที่เมื่อของเพื่อนที่ขับ ไม่ได้อยู่บนพวงมาลัยด้วยซ้ำ! มันดังขึ้นมาเองได้ยังไงก็ไม่มีใครทราบ สิ่งเดียวที่ทราบคือ “เราหยุดพูดถึงเรื่องนี้กันดีกว่า” ก่อนจะยกมือขอโทษขอโพย อะไรก็ตามที่อาจจะมีตัวตนแต่มองไม่เห็น… ตลอดการเดินทางที่เหลือ ไม่มีใครพูดถึงเรื่องนี้อีกเลย และในที่สุดก็เดินทางถึงที่หมายทันเวลา อย่างไรก็ตามหลังเข้าร่วมพิธีอุปสมบทในวันถัดไป เพื่อนๆของคุณป๊อบที่ร่วมทางมาด้วยกันตกลงจะค้างที่ต่างจังหวัดอีกคืน จึงสีเพียงคุณป๊อบที่ขอตัวกลับในเย็นวันนั้น เนื่องจากคืนนี้มีงานต้องขึ้นร้องเพลง

ขากลับเส้นทางเดิม คุณป๊อบแทบจำจะจุดเกิดเหตุได้อย่างละเอียด พอใกล้จะถึงจุดที่ว่าก็อดกลืนน้ำลายลงคอด้วยความสะพรึงไม่ได้ อย่างไรก็ตามคุณป๊อบก็ยกมือขึ้นไว้และบีบแตรเมื่อผ่านบริเวณจุดที่รถเคยดับกระทันหัน และรู้สึกโล่งใจที่ไม่เกิดขึ้นอีกในวันนี้ แต่… ไม่ทันจะโล่งใจได้นานก็เกิดตัวเย็นเฉียบกระทันหัน สายตาจับจ้องเขม็งไปที่อะไรบางอย่างตรงมุมโค้งข้างหน้า ภาพที่เห็นทำเอาคุณป๊อบแทบหยุดหายใจ เพราะบริเวณมุมโค้งที่เลยจากจุดที่คุณป๊อบรถเสียเมื่อคืนไม่มาก และคุณป๊อบกับเพื่อนใช้เวลาเดินสำรวจไปมาเพื่อมองหารถที่ผ่านมาบ้าง มองหาคนบ้างอยู่ร่วมชั่วโมง โดยไม่พบอะไรที่ติดใจหรือผิดสังเกต บัดนี้ที่มุมโค้งนั้นกลับมีศาลขนาดใหญ่ตั้งอยู่ มันใหญ่ขนาดที่ว่าแม้ไม่ตั้งใจมองก็สามารถสังเกตเห็นได้ เป็นไปไม่ได้ที่เมื่อคืนจะไม่มีใครรู้สึกถึงเลย…. เว้นแต่ว่า จะโดนเข้าให้แล้ว และนี่ก็คือเรื่องราวทั้งหมด

Admin

06/07/2020

30 ปีผีอาฆาต..ภาพจำสุดท้ายของวิญญาณ คือดวงไฟหน้ารถยามค่ำคืน

เรื่องราวอาถรรพ์“ล่าข้ามทศวรรษ” เมื่อผีตามล่าคนขับรถทัวร์ด้วยเหตุผลบางอย่างในอดีตกว่า30 ปีที่ผ่านมา

เรื่องนี้คุณตูนได้เล่าไว้ในเดอะโกสต์ เรดิโอ ว่าตนเคยนั่งรถไปเป็นเพื่อนรุ่นพี่ที่ขับรถทัวร์ ในคืนนั้นเกิดเหตุประหลาด..ผู้หญิงล่อนจ้อนกระโดดพุ่งเข้าใส่กระกระจกหน้ารถ แล้วทุกอย่างก็ดับวูบ รู้ตัวอีกทีคือไปนอนโรงบาลแล้ว 

ขับรถทัวร์อยู่ดีๆ…เจอผีผู้หญิงตัวอวบๆกระโดดเกาะกระจกหน้ารถ

จากเรื่อง: 30 ปีผีอาฆาต เดอะโกสต์ เรดิโอ

เล่าโดย: คุณตูน

เรื่องราวเกิดขึ้นเมื่อ 2-3 ปีก่อน คุณตูนทำงานขับรถทัวร์ให้กับบริษัทอู่รถแห่งหนึ่งที่หาดใหญ่ หลังจากที่รับวิ่งงานต่อเนื่องกันมานาน รถที่ขับประจำก็ได้เวลาเข้าศูนย์ตรวจเช็คระยะและซ่อมบำรุง ก็ได้ถูก “พี่วิท” ลูกพี่ที่รู้จักกันโทรมาศัพท์มาชวนให้มาช่วยขับรถ พาเยาวชนจาก 3 จังหวัดชายแดนใต้ขึ้นมาทัศนศึกษา

ถึงแม้ว่าจะเหนื่อย แต่ด้วยความที่เป็นศิษย์สอนขับรถกันมา คุณตูนจึงตอบรับคำชวนและได้พาเจ้าเบลล์เด็กรถของตัวเองติดรถมาช่วยกันด้วย โดยคุณตูนรับหน้าที่ขับรถช่วงกลางคืนที่ต้องวิ่งข้ามจังหวัด ส่วนพี่วิทจะทำทัวร์และขับช่วงกลางวัน

เมื่อคุณตูนขับรถขาขึ้นจากใต้มาถึงป้อมตำรวจชุมชนช่วงอ.ท่าชนะจ.สุราษฏร์ธานี ก็เป็นเวลากลางดึกแล้วปวดฉี่ขึ้นมา แต่ขณะนั้นเกิดฝนตกหนักจึงได้รีบจอด ณ จุดนั้นเพื่อทำธุระส่วนตัว ก็ได้สังเกตเห็นพระธุดงค์รูปหนึ่งยืนหลบฝนอยู่ จึงได้พูดคุยและเชิญชวนให้ติดรถมาด้วย

พระรูปนั้นจึงขอติดรถมาลงยังจุดที่พอพ้นฝน ตลอดเส้นทางก็ได้มีการพูดคุยกันมาคุณตูน สังเกตว่าหลวงพี่รูปนี้เป็นพระที่น่าเลื่อมใสศรัทธามาก ทราบชื่อสั้นๆว่าหลวงพี่จ๊ะ

เมื่อขับมาถึงจุดพักรถที่จ.ชุมพร ก็ได้จอดแวะพัก และหลวงพี่จ๊ะก็ขอลงธุดงค์ต่อ แต่ก่อนจากไปท่านได้พูดคุยสั่งสอนพี่วิท ลูกพี่ของคุณตูนอยู่นานเรื่องเวรกรรม และได้ยื่นขวดน้ำให้กับพี่วิทเพื่อให้ล้างหน้าเพื่อชำระล้างสิ่งที่ไม่ดี

คณะของคุณตูนก็ได้เดินทางต่อ เพื่อท่องเที่ยวสุพรรณบุรีและกาญจนบุรี และได้มาหยุดพักค้างคืนที่กทม. โดยคุณตูนและลูกพี่ได้หยุดพัก 2 คืน เนื่องจากคณะทัวร์ได้เช่ารถตู้ไปเที่ยวกันต่อ

คืนที่สองของการพัก คุณตูนถูกสต๊าฟทัวร์ชักชวนตั้งวงดื่มกัน เนื่องจากคิดว่าวันรุ่งขึ้นยังพักอยู่ คุณตูนก็ได้ดื่มไปเล็กน้อย แต่สักพักพี่วิทก็ได้เดินมาหาและบอกว่ามีรถของที่อู่เดียวกันหม้อน้ำแตกที่ อ.แกลง จ.ระยอง ทำให้ได้รับคำสั่งให้ต้องไปรับลูกค้าเพื่อเข้ากทม. เช้ามืดวันนี้พี่วิทจึงมาชวนคุณตูนให้นั่งรถไปเป็นเพื่อนกัน เมื่อขับรถไปได้สักระยะ พี่วิทก็บอกให้คุณตูนไปนอนพัก เพื่อให้คลายสร่างจากฤทธิ์ของอัลกอฮอล์

จู่ๆคุณตูนต้องสะดุ้งตื่นขึ้นมา เพราะได้ยินเสียงผู้หญิงดังขึ้นมาบนรถว่า

“ถ้าเมิงแน่จริง เมิงก็ถอดประคำแล้วลงมาจากรถซิวะ”

ก็ตื่นขึ้นมาดู พบว่ารถจอดอยู่ ไม่เห็นพี่วิท เจ้าเบลล์ก็สงสัยว่าหายไปไหน แล้วก็เจอพี่วิทยืนอยู่ด้านข้างรถ เหงื่อออกเต็มใบหน้า พี่วิทได้บอกว่า

“ถ้าไม่มีคนโทรตาม ตอนเช้าค่อยเดินทางกันดีกว่า”

แต่ขณะนั้นเถ้าแก่ก็ได้โทรตามโทรเร่งอยู่ตลอดเวลา จึงต้องทำตามหน้าที่ คุณตูนจึงรับอาสาจะขับรถเอง เพราะระยะทางอีกไม่ไกลก็ใกล้จะถึงจุดหมาย แต่เพราะดื่มมาถ้าถูกตำรวจจับจะต้องมีปัญหาอย่างแน่นอน พี่วิทจึงตัดสินใจขับเองแต่ให้คุณตูนและเจ้าเบลล์นั่งเป็นเพื่อน ห้ามหลับเด็ดขาด

รถทัวร์ของพี่วิทขับออกจากมอเตอร์เวย์ เบี่ยงลงถนนเส้นบ้านบึงมุ่งหน้าสู่ อ.แกลงได้สักระยะ 30 กิโลเมตร ถนนช่วงกลางดึกมีรถน้อย พี่วิทจึงเปิดไฟสูงเป็นระยะ ช่วงสุดแสงของไฟ คุณตูนได้เห็นร่างๆหนึ่งอยู่สุดปลายแสง วิ่งออกมาจากข้างทาง เมื่อรถขับเข้าไปใกล้ก็วิ่งหลบเข้าข้างทาง เป็นแบบนี้อยู่ 3 ครั้ง จนครั้งที่ 4 ก็เห็นชัดว่าเป็นหญิงสาวรูปร่างอวบไม่ได้ใส่เสื้อผ้า พอรถจะถึงก็วิ่งหลบเข้าข้างทางอีก คุณตูนไม่รู้ว่ามีคนอื่นเห็นด้วยรึเปล่าแต่ก็ไม่กล้าทัก และนึกภาวนาในใจ ขออย่าให้มีใครทัก จนครั้งที่ 5 เจ้าเบลล์ก็ได้ทักขึ้นมา

“เห้ยพี่ตูนใครมาวิ่งเปลือฺยอยู่ข้างหน้า”

ทันทีที่ทัก ร่างๆนั้นเปลี่ยนจากวิ่งเป็นเดินช้าๆเหมือนรอ จนเมื่อรถวิ่งเข้าไปใกล้จึงได้เห็นชัดเจนขึ้น พี่วิทก็ทักขึ้นมาว่า นั้นอะไรหน่ะ! ทันทีที่ทักไปผู้หญิงคนนั้นก็กระโดดโผลงขึ้นมาเกาะอยู่บนกระจกหน้ารถทันที!!

พี่วิทจึงเสียหลักในการควบคุม รถเบี่ยงลงทางซ้าย คุณตูนจึงรีบหมุนพวงมาลัยกลับขวา ทำให้รถทัวร์พลิกคฺว่ำลงข้างทางทันที!

พี่วิทคนขับได้รับบาดเจ็บมากที่สุด ไหปลาร้าและซี่โครงหัก และถูกนำตัวส่งโรงพยาบาล เจ้าเบลล์จมูกหัก ส่วนคุณตูนเพียงแค่ฟกช้ำเล็กน้อย ได้กลับบ้านเร็วสุด

พี่วิทถูกนำตัวส่งโรงพยาบาลและเข้ารักษาตัวในห้องไอซียูนานถึง 20 กว่าวัน เมื่อแพทย์ให้ย้ายออกมาอยู่ห้องพิเศษ แฟนพี่วิทก็ได้เดินทางมาเฝ้า โดยคุณตูนเป็นคนไปรับและขับรถพามา จากใต้มาถึงโรงพยาบาลก็เป็นเวลาเกือบๆ 3 ทุ่ม

เมื่อเดินหาห้องพักของพี่วิทจนเจอป้ายชื่อหน้าห้อง ทันที่ที่คุณตูนชะโงกหน้าดูทางช่องหน้าต่างหน้าห้องพักผู้ป่วย ก็ต้องผงะออกมา เมื่อได้เห็นว่ามีผู้หญิงยืนเปลือฺย กำลังยืนกระทืบหน้าอกของพี่วิทอยู่!!

แต่แฟนแกกลับเห็นและเข้าใจไปว่าพยาบาลกำลังปั้มหัวใจพี่วิทอยู่ ก็กำลังจะเข้าไปหา คุณตูนจึงรีบคว้ามือแฟนแกออกมา และชักชวนแฟนแกให้ไปตามพยาบาลมาดู เมื่อพยาบาลตัวจริงมาถึงแฟนแกก็หน้าซีด แล้วสงสัยว่าที่แกเห็นนั้นคืออะไร คุณตูนจึงเปลี่ยนเรื่องและแนะนำให้ชวนพระมาทำพิธีสวดให้ในตอนเช้า

เมื่อรุ่งเช้าจึงพากันไปยังวัดใกล้ๆ และรอจนพระฉันเช้าเสร็จก็ต้องประหลาดใจเป็นอย่างมาก เมื่อได้พบกับหลวงพี่จ๊ะที่เจอกันที่สุราษฏร์ หลวงพี่ก็ได้มารดน้ำมนต์ให้พี่วิทที่โรงพยาบาล คุณตูนก็ออกไปส่ง หลวงพี่สั่งไว้ว่าถ้าพี่วิทดีขึ้นแล้วให้พาไปหาหลวงพี่ที่สุราษฎร์ และกล่าวทิ้งท้ายไว้ว่า “บุญต่อบุญ ชีวิตต่อชีวิตนะโยม”

ต่อมาอีก 40 กว่าวัน พี่วิทก็อาการดีขึ้นหมออนุญาตให้ย้ายกลับไปรักษาตัวที่ใกล้บ้านได้ คุณตูนก็ได้ขับรถมารับพี่วิทและแฟนแก ซึ่งต้องผ่านถนนเส้นเดิมเพื่อเดินทางกลับบ้านที่ใต้ พี่วิทได้แวะตลาดและซื้อเตาถ่าน เมื่อขับรถผ่านใกล้จุดที่ประสบอุบัฅิเหตุรถทัวร์คว่ำ พี่วิทได้สั่งให้จอดรถและทำในสิ่งที่คุณตูนกลัวที่สุด คือจุดไฟเผาพริกเผาเกลือสาปแช่งผีตนนั้น ที่ทำให้แกเจ็บเจียนตฺาย และสิ่งที่ไม่น่าเชื่อก็คือมีจิ้งจกสองตัวหล่นลงไปตฺายในเตา ทั้งที่ตรงนั้นไม่มีต้นไม้ คุณตูนจึงรีบชวนพี่วิทกลับ

เมื่อขึ้นไปบนรถพี่วิทจึงบอกว่า มีนิทานเรื่องหนึ่งจะเล่าให้ฟัง เมื่อ 30 ปีก่อนที่พี่วิทยังไม่ได้ขับรถทัวร์ แต่ยังขับรถฮีโน่สิบล้อหัวยาววิ่งรถถนนเส้นบ้านบึง-แกลง เส้นนี้สมัยก่อนยังเป็นถนนสองเลนแคบๆ คืนนั้นตอนกลางดึกแกขับรถอยู่ ก็เห็นผู้ชายสองคนกำลังวิ่งไล่กวดผู้หญิงเปลือฺยคนหนึ่ง วิ่งอยู่ข้างทาง ผู้หญิงคนนั้นก็โบกมือเหมือนจะขอความช่วยเหลือ

พี่วิทแกเห็น แต่ไม่กล้าจอด เพราะกลัวว่าจะเป็นเรื่องผัวเมีย แกบอกว่าแกมาทำงานเลี้ยงลูกเมีย แกไม่อยากยุ่ง จนตอนเช้าพี่วิทก็กลับทางเส้นเดิม ก็เห็นรถตำรวจมาจอดและมีรถติดเต็มถนน จึงลงไปดู ก็เห็นผู้หญิงคนที่เปลือฺยเมื่อคืนนอนตฺาย!! ตำรวจกำลังพิมพ์ลายนิ้วมืออยู่

หลังจากนั้นต่อมาอีก 3 ปี พี่วิทยังขับรถฮีโน่อยู่ ก็มาถูกผีผู้หญิงตนนี้หลอก คงเพราะภาพสุดท้ายที่เค้าเห็นก่อนที่สติจะเลือนหายไปคือรถของพี่วิท แสงไฟหน้ารถที่ราวกับความหวังสุดท้าย เค้าอาฆฺาตที่ไม่ยอมจอดลงมาช่วยเค้า และเป็นเหตุผลว่าทำไมตอนที่ผีผู้หญิงกระโดดเกาะกระจกรถทัวร์ พี่วิทจึงเห็นว่าเค้าใช้หัวกระแทกกระจก ในขณะที่คนอื่นเห็นแค่เกาะกระจก จึงเป็นที่เข้าใจว่าทำไมแกจึงกลัวมากเมื่อต้องขับผ่านถนนเส้นนี้

หลังจากนั้น คุณตูนจึงได้พาพี่วิทไปหาหลวงพี่จ๊ะเพื่อต่อชะตา ผีผู้หญิงตนนี้เป็นที่พูดกันมากในหมู่รถทัวร์รถสิบล้อและรถเทรลเลอร์ เมื่อต้องผ่านถนนเส้นนี้กลางดึก แต่กลับไม่เคยมีรถเก๋งหรือกระบะได้เจอผีตนนี้เลย

Admin

04/07/2020

ดูดวงให้เพื่อนที่หอพักย่านสุขาภิบาล 5 แต่ผีในตึกอยากดูด้วย

เรื่องนี้เกิดขึ้นที่หอพักแห่งหนึ่งแถวสุขาภิบาล 5 เมื่อหลายปีที่ผ่านมา คุณเอนั้นเป็นคนชอบดูดวง จากนั้นคุณเอก็เริ่มเรียนดูไพ่ยิปซี จนคุณเอก็พอดูเป็นพอสมควร แล้วคุณเอก็ไปรู้จักพี่อีกคนนึง เขาก็ดูดวงเป็นเหมือนกัน แต่เขานับถือศาสนาคริสต์ แล้วพอดูกันไปดูกันมา จนครั้งนึงคุณเอก็มีความคิดว่า ถ้าเกิดอยากดูแม่นๆ สงสัยเราต้องไปดูในที่เงียบๆ ไม่มีคน เผื่อมันจะแม่น แล้วบริเวณที่คุณเออยู่นั้นก็จะมีตึกอยู่ตึกนึง ที่ชั้น 5 จะเป็นชั้นที่ไม่มีคนอยู่เลย และเป็นอะไรที่ใครๆก็พูดว่า ผีดุ คุณเอกับพี่ก็เลยนัดกันเข้าไปที่นี่

พอถึงเวลา ตอนนั้นก็ประมาณตี 2 ก็เตรียมเทียน เตรียมเสื่อ กะจะไปนั่งดูเต็มที่ ทั้งหมดก็ไปกัน 6 คน โดยที่ 4 คน นั่งล้อมวงกันเพื่อจะดู อีก 2 คน ยืนอยู่บริเวณชานของตึก ยืนคุยกัน ไม่ได้สนใจ พอเริ่มดู คุณเอก็สับไพ่กันตามปกติของไพ่ยิปซี คนที่ดูไพ่ยิปซีเนี่ยจะรู้ว่า ไพ่จะต้องมี อดีต ปัจจุบัน และอนาคต แต่พอเปิดไพ่ขึ้นมา คุณเอเห็น ไพ่ที่เป็นอดีต ปัจจุบัน อนาคตไม่เห็น เป็นไพ่ที่บอกอนาคตไม่ได้ และที่สำคัญไพ่ที่เปิดมานั้นไม่ใช่ไพ่ของผู้ชาย แต่ว่าคนที่ดูกับคุณเอเป็นผู้ชาย คุณเอก็เลยบอกพี่เขาไปว่า ครั้งนี้น่าจะมั่วแล้วไหนพี่ลองสับใหม่อีกที

ครั้งนี้ หยิบไพ่ออกมา 10 ใบ ต่างกับครั้งแรกแค่ 2 ใบ อีก 8 ใบ เหมือนเดิมเป๊ะ และก็เป็นไพ่ผู้หญิงออกมาเหมือนเดิม คุณเอก็ขนลุก และก็ขอสับไพ่เอง พอคุณเอสับเสร็จ ไพ่ 10 ใบ มีอยู่ 7 ใบ เหมือนเดิม ต่างตำแหน่งนิดหน่อย แต่ความหมายยังคงเดิม พี่ที่เขาดูก็บอกว่า คุณเอ สงสัยจะไม่ใช่ของเราแล้วหละ คุณเอก็เลยบอกว่า ถ้าอย่างนั้น ก็ของคนแถวๆนี้แหละ แล้วคุณเอก็พูดต่อว่า ถ้าเขาอยากดูนัก เดี๋ยวดูให้เลย พอดูเสร็จ คุณเอก็ทายออกมาว่า คนนี้เป็นผู้หญิง สาเหตุที่เขาเสียชีวิตคือ ฆ่าตัวตาย เพราะความรัก แต่เขาไม่ได้ตายที่ตึกนี้ ด้วยความเป็นสัมภเวสีเขาก็ล่องลอยมาอยู่ที่เงียบสงบ ดังคำพูดที่ว่า บางที่ที่ไม่มีคนตาย แต่ไม่คนอยู่ ก็จะมีสิ่งพวกนี้อยู่ คุณเอก็ทายต่อว่า เขาดูทุกข์ทรมานมาก เพราะเขาไม่สามารถไปไหนได้ ชีวิตยังต้องวนเวียนอยู่แบบนี้ แล้วคุณเอก็พูดลอยๆออกมาคำนึงว่าดูให้แล้วนะ ถ้าอยากหลุดพ้น ให้ปลงแล้วทำใจ เพื่อจะได้ไปสู่ภพภูมิที่ดีขึ้น

ซักพักคุณเอก็พูดต่อว่า นี่มันไม่ใช่ไพ่ของคน เพื่อนคุณเอที่ยืนคุยอยู่ข้างหลัง คุณเอมีความรู้สึกว่า เขาเอาหน้ามาอยู่บนไหล่ ไรผมก็โดนคอคุณเอ แล้วก็พูดว่า ไหนๆ ขอดูหน่อย คุณเอก็บอกเพื่อนไปว่า อ่ะ นี่ ดูดิๆ พอคุณเอพูดเสร็จ คุณเอก็สับไพ่อีกรอบนึงแต่ครั้งนี้ไพ่เปลี่ยนไปเลย เหมือนว่าไม่ใช่คนเดิม คราวนี้เป็นผู้ชาย พี่อีกคนที่อยู่ใกล้ๆก็พูดว่า ถ้าอยากดูกันนักก็มาเรียงแถวดูกันเลย แล้วคุณเอก็ดูไพ่ของคนที่ 2 คนนี้ก็ตายเพราะความรักเหมือนกัน ฆ่าตัวตาย คุณเอก็พูดลอยๆเหมือนกับบอกวิญญาณไปว่า ให้ทำใจ เพราะเขายังยึดติดที่บ่วงกรรมของเขาอยู่ ก็จบไป

พอคนที่ 3 คราวนี้เป็นผู้หญิง ตายทั้งกลม ทั้งหมดมาจากสาเหตุจากความรักทั้งนั้นเลย พอครบ 3 คน คุณเอก็ไม่ไหวละ มีความรู้สึกว่าอึดอัด แล้วก็กลับกัน ระหว่างที่เดินลง คุณเอก็คุยกับเพื่อน แล้วก็อารมณ์จะถามเพื่อนว่า ที่ไปดูเป็นยังไง แต่เพื่อนบอกว่าไม่ได้ไปดู ยืนคุยอยู่ข้างหลัง ทุกคนก็บอกว่า เพื่อนคนนี้ยืนคุยอยู่ข้างหลัง ไม่ได้เข้าไปดูเลย แต่คุณเอรู้สึกว่า เหมือนเพื่อนเอาหน้ามาอยู่บริเวณหัวไหล่ตัวเอง โชคดีที่คุณเอไม่หันหน้ากลับไป ไม่รู้ว่าถ้าหันหน้ากลับไป คุณเอจะเป็นยังไง พอลงมาจากตึก พี่คนที่ดูดวงอีกคนก็โบกมือขึ้นไปที่ 5 แล้วก็พูดว่า เดี๋ยวพรุ่งนี้มาดูให้ใหม่นะ แล้วคุณเอก็ต้องมากับพี่เขา เพื่อมาดูดวงให้ผี ตอนนั้นคุณเอก็กลัว แต่ความอยากลองและก็ไม่ได้เห็นเป็นตัวๆ ก็เลยไป

พอวันที่ 2 ก็เวลาเดิม ตี 2 ครั้งนี้ก็มีคนไปเพิ่มอีกคนนึง เป็น 7 คน น้องคนที่ไปเพิ่มเนี่ย จะเป็นคนที่มีซิกซ์เซนต์ พอปูเสื่ออะไรเสร็จ คุณเอก็เริ่มดูดวงทันที เริ่มสับไพ่ พอเปิดไพ่ ก็เหมือนว่า ไพ่มันดูมั่วๆ ไม่สามารถจับต้นชนปลายอะไรได้ถูกเลย เหมือนเป็นผู้หญิง เหมือนสัญญาณเขาอ่อน ไม่เหมือนเมื่อวานนี้ คุณเอก็เลยถามน้องคนที่มาใหม่ว่า เห้ย เอ็งมีความรู้สึกยังไง น้องก็บอกว่า รู้สึกว่า เขาอยู่หน้าประตูุ เขาเข้ามาไม่ได้ คุณเอก็งง หรือใครใส่พระมาหรือเปล่า แต่พอถามๆ ก็ไม่มีใครใส่มา แต่เหมือนมีบางอย่างทำให้เขาเข้ามาไม่ได้

คุณเอก็พยายามดูอีกแต่ก็ไม่ได้ เมื่อวานที่ดูนั้นเป็นอีกที่นึง วันนี้อยู่อีกที่นึง คุณเอก็เลยคิดว่า ถ้าในห้องนี้ดูไม่ได้ เดี๋ยวลองย้ายไปที่เดิม แต่พอย้ายไปที่เดิม เขาก็เข้ามาไม่ได้อีก พอซัก 2-3 ครั้ง คุณเอก็เลยลองดูอีกทีนึง ตรงบันได ครั้งนี้ไพ่ออกชัดเจน เปิดไพ่ออกมา เหมือนจะเป็นไพ่ของเจ้าที่ แล้วก็มีใบนึง เป็นไพ่ 10 ดาบ ตรงตำแหน่งปัจจุบัน ความหมายก็คือประมาณว่า ให้หยุด ให้หยุดการกระทำนี้ แล้วพี่คนที่เขาเป็นคริสต์เขาก็บอกว่า ได้ยินเสียงเหมือนทูตสวรรค์ของเขา ลอยเข้ามาในหูบอกให้หยุดการกระทำนี้ซะ เพราะว่าการที่ไปบอกวิญญาณแบบนี้

เหมือนทำให้เขาหลุดจากกรรมที่เขาก่อขึ้นมา พอพวกคุณเอบอกวิธีทางให้เขาไป ทำให้กฏแห่งกรรมของเขาเสีย เขาก็เลยได้ไปสู่ภพภูมิที่ดี ได้ไวขึ้นกว่าเดิม ซึ่งมันก็ดีสำหรับดวงวิญญาณ แต่มันไม่ดีสำหรับคนที่ดูดวง เพราะ ถ้าเกิดเขาไปดีกรรมของเขาก็จะมาตกที่เรา หลังจากนั้น คุณเอก็ไม่เคยดูให้คนตายอีกเลย

Admin

28/06/2020
1 2 3 4 12