วิญญาณจากจักรวาลคู่ขนาน…เจอผีตัวเองอีกคน
เรื่องนี้เป็นประสบการณ์ของสมาชิกเว็บดังท่านนึง ถ่ายทอดเรื่องราวเอาไว้ในเว็บบอร์ดนั้น เรื่องเริ่มต้นจากการนอนบนเตียงไม้เก่า พอตื่นขึ้นมาก็ถูกวิญญาณที่ ‘หน้าเหมือนตัวเอง’ ตามติด ปรากฎว่าวิญญาณนั้นแท้จริงแล้วเป็นตัวเองเมื่อชาติก่อนที่ยึดติดกับปมบางอย่าง จนไม่ไปผุดไปเกิด
โดยส่วนตัวแล้ว เราไม่ได้เป็นคนที่เชื่อเรื่องเหนือธรรมชาติหรือว่าผีสาง ไม่สิ เราไม่ได้ไม่เชื่อ แต่เพราะว่าตั้งแต่เกิดมาก็ไม่เคยเห็นสักครั้งนี่นา จะให้รู้สึกกับเรื่องที่ไม่เคยพบเจอ มันก็ไม่สนิทใจ อย่างไรก็ตาม คืนนึงในช่วงปิดเทอมหน้าร้อน ความเชื่อของเราได้ถูกสั่นคลอนเป็นครั้งแรก
ย้อนกลับไปเมื่อหลายปีก่อน พี่ชายที่ปกติไม่ค่อยได้มีโอกาสพบปะกัน ตั้งแต่เขามีการมีงานแล้วแยกบ้านออกไป โทรมาหาเรา พี่ชายเรามักจะชอบไปซื้อที่ดินหรือบ้านมือสองถูกๆ มาปรับปรุงใหม่ หรือที่ปัจจุบันนิยมเรียกกันว่า “รีโนเวท” นั่นแหละ เรื่องที่โทรมาในวันนั้นคือจะชวนเราไปดูบ้านที่พึ่งซื้อเป็นเพื่อน
เป้าหมายปลายทางอยู่ในต่างจังหวัด บอกตามตรงว่า…ถึงแม้เราจะว่างๆอยู่ก็เถอะ แต่ก็ไม่ได้พิศมัยกับกิจกรรมอย่างการไปเยี่ยมชมบ้านมือสองเก่าคร่ำครึ หากแต่สิ่งที่เราคาดหวังคือของแถมต่างหาก การได้ไปเที่ยวต่างจังหวัด พักผ่อนทานของอร่อย คงช่วยเยียวยาความน่าเบื่อของวันหยุดยาวได้บ้าง
บ้านหลังที่ว่านี้ มีลักษณะเป็นบ้านไม้ทรงไทยยกสูง อย่างกับออกมาจากหนังพีเรียด เราค่อนข้างแปลกใจอยู่เหมือนกัน ที่นี่ไม่ได้ดูแย่อย่างที่คิด พอถามพี่ชาย พี่ชายก็บอกว่า หลังนี้ไม่ได้จะซื้อมาขายต่อทำกำไร แต่ตัวเองอยากได้ไว้ใช้เป็นบ้านพักตากอากาศของครอบครัวเรา หืมม…พี่ชายที่ร้อยวันพันปีจะโผล่หน้ามาสักที ก็มีมุมแบบนี้เหมือนกัน
ระหว่างเดินชมห้องต่างๆพบว่า มีห้องนอนอยู่ 4 ห้อง ส่วนใหญ่ในห้องก็ดูโล่งๆ เนื่องจากยังไม่ได้ปรับปรุงตกแต่ง แต่ 1 ในนั้นมีเตียงนอนไม้ตะเคียนขนาดใหญ่ ที่ประดับด้วยลวดลายแกะสลักที่พนักหัวเตียง และปลายเตียง แม้มันจะเป็นของเก่าที่ปกติแล้วเราไม่ได้มีรสนิยมชมชอบอะไรทำนองนี้ แต่เตียงไม้หลังนั้นมีเสน่ห์ดึงดูดเราอย่างบอกไม่ถูก
“ได้ยินมั้ยๆ เป็นอะไรรึเปล่า หน้าซีดเลยนะ เดี๋ยวเราจะกลับกันแล้ว”
เสียงพี่ชายดังมาจากข้างๆ ทำให้เราสะดุ้งตื่น เราเผลอหลับบนเตียงไม้ที่ว่านั่นไปตอนไหนก็ไม่รู้…ระหว่างที่พี่ออกไปซื้อของกินแล้วทิ้งเราไว้ที่บ้าน นอนลงไปทั้งที่พื้นมันแข็ง อย่างไรก็ตาม คงต้องขอบคุณเสียงปลุกที่แสบโสตประสาท เพราะเมื่อไม่กี่นาทีก่อน เราพึ่งจะฝันแปลก แปลกมากๆ แต่พยายามจะตื่นยังไงก็ไม่ตื่น
เราเล่าเรื่องความฝันนี้ให้ครอบครัวฟังในภายหลัง ไม่ใช่หลังกลับจากทริปนั้นทันที แต่เป็นหลังจากที่เราเริ่มรู้สึกถึงบางอย่างที่ไม่ชอบมาพากล บางอย่างที่เราอาจ “บังเอิญ” นำติดตัวกลับมาด้วย คืนนั้นเราเข้านอนตามปกติที่บ้าน แต่แล้วก็รู้สึกตัวขึ้นมากลางดึก จะว่าไปมันก็เหมือนครึ่งหลับครึ่งตื่น แต่เรามั่นใจว่าคราวนี้ไม่ได้ฝันแน่ๆ เรารู้สึกได้ถึง “แรงกดทับที่มองไม่เห็น” เราพยายามจะลุกขึ้นนั่งด้วยแรงทั้งหมดที่มี อย่าว่าแต่นั่งเลย ขยับสักเซ็นยังไม่มี แถมยิ่งพยายามฝืนเท่าไหร่ มันยิ่งเจ็บมากขึ้น เหมือนมีใครมานั่งทับเราไว้
ครั้งแรกก็เข้าใจว่าคงเป็นอาการเหน็บชา หรืออาจจะปลายประสาทอักเสบ แต่หลังจากคืนนั้นมาก็มีอาการแบบนี้เกิดขึ้นอีกหลายครั้ง จนเริ่มจะเอนเอียงไปทางเรากำลังถูกผีอำรึเปล่า ย้อนกลับไปเรื่องความฝันที่บ้านหลังนั้น ฝัน…ที่ประหลาดเอามากๆ ในซีนนั้นเราฝันเห็นผู้หญิงคนหนึ่งกำลังนอนหนุนอยู่บนตักของผู้หญิงอีกคนหนึ่ง พอเราจ้องมองดูชัดๆก็รู้สึกใจหาย เพราะคนที่นอนอยู่ดูมุมไหนมันก็คือ…ตัวเราเองชัดๆ ในชุดเดียวกันกับที่สวมไปบ้านหลังนั้น แต่สิ่งที่ทำให้เราแทบช็อคคือใบหน้าของผู้หญิงที่นั่งต่างหาก ใบหน้าของเธอเหมือนคนที่นอนอยู่ราวกับแกะสลักขึ้นมาจากช่างคนเดียวกัน ใช่แล้ว…หน้าเธอคนนั้นก็เหมือนเราไม่มีผิด!
หลังเราเล่าเรื่องนี้ให้ฟัง ทางครอบครัวก็เริ่มมีอาการวิตกกังวล โดยเฉพาะเมื่อมันเกิดขึ้นหลังจากที่เรามีอาการคล้ายถูกผีอำ แต่ตัวละครที่เข้ามามีบทบาทเพิ่มขึ้นหลังจากนี้คืออาของเพื่อนเราเอง เรื่องมันเริ่มจากที่แม่เราเอาเรื่องนี้ไปเล่าให้เพื่อนสนิทของเราฟัง จริงๆแล้วแม่ก็แค่เป็นห่วงเลยอยากให้ช่วยดูๆเราด้วย วันหนึ่งกิ่งก็พาเราไปหาอาของกิ่งที่บ้าน ถึงแม้ตามศักดิ์แล้วจะเป็นอาแท้ๆของกิ่ง แต่ด้วยความที่อายุอานามยังไม่มากนัก และความสนิทสนมประมาณหนึ่ง เราเลยเลยอาของกิ่งว่าพี่แทน…
พี่เนมบอกว่า…พี่รู้จักอาจารย์ที่นับถืออยู่ท่านนึง เป็นผู้เชี่ยวชาญไสยเวท หรือจะเรียกว่าหมอผีก็คงจะได้ อาจารย์ท่านนี้อยู่ที่สุรินทร์ ซึ่งอำเภอนี้มีอาณาเขตติดกับประเทศเพื่อนบ้าน เรียกได้ว่าเป็นละแวกชุมนุมของผู้วิเศษเหมือนกับตรอกไดแอคกอน ในแฮร์รี่พอตเตอร์เลยทีเดียว
บอกตามตรงว่า…ถ้าเป็นเมื่อก่อนเราคงไม่สนใจ อันที่จริงเราไม่ชอบแม้แต่ดูดวงด้วยซ้ำ แต่สถานการณ์ที่เจอตอนนี้ มันคงเกินจุดที่จะแบกรับคนเดียว อย่างไรก็ตาม เราเองก็ไม่สะดวกที่จะเดินทางไปไกลขนาดนั้น พี่เนมเลยบอกว่า เดี๋ยวให้เป็นธุระของเค้าเอง เราเองก็แบ่งรับแบ่งสู้ เชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง อดสงสัยไม่ได้ว่า แค่คุยทางโทรศัพท์ บอกชื่อ-นามสกุล วันเดือนปีเกิด มันจะช่วยได้จริงหรือ? แต่พี่เนมยังคงยืนยันว่เสียงแข็งา…ที่นี่คือฮอกวอร์ตเมืองไทย เราเองก็ลำบาก คงต้องหวังพึ่งอย่างเดียว
หลังจากนั้น เราเองยังมีอาการผีอำอยู่อย่างต่อเนื่อง มีช่วงนึงเราเลือกที่จะเปลี่ยนเวลานอน คือนอนตอนกลางวัน ตื่นกลางคืนแทน แต่ที่แย่คือมันก็อำเราได้แม้แต่กลางวัน หนักเข้าก็เริ่มได้ยินเสียงเรียก “ชื่อเรา” ดังมาจากใต้เตียง ช่วงนั้นเลยเป็นช่วงที่เราแม่นคาถาชินบัญชรมาก มากขนาดที่ว่าแรปแบบใส่บีตเป็นเพลงได้ เพราะต้องท่องทุกครั้งเวลามีอาการ
ผ่านไปหนึ่งอาทิตย์ มีสายที่ไม่คุ้นเคยโทรเข้ามา… เป็นอาจารย์จากตรอกไดแอคกอนนั่นเอง
“เอาล่ะ หมอได้ฟังเรื่องราวทั้งหมดมาแล้ว หนูฟังดีๆนะ สิ่งที่จะพูดต่อไปนี้อาจจะเชื่อยาก แต่มันคือความจริง”
“ค่ะ” เรารับฟังอย่างว่าง่าย
“เหตุการณ์ที่หนูประสบอยู่ มันคือการ…นอนทับที่ตัวเองตาย ที่ที่หนูเคยใช้ลมหายใจสุดท้ายเมื่อชาติที่แล้ว”
“เตียงที่หนูไปนอนในบ้านที่ต่างจังหวัดนั่นไง ชาติที่แล้วหนูเคยตายตรงนั้น แต่วิญญาณของหนูยังสถิตย์อยู่ในเตียงนั่นมาถึงปัจจุบันเพราะคำสัญญา”
“ว่าไงนะค?! แล้วหนูไปสัญญาอะไรกับใคร”
“หนูสัญญากับตัวเองและคนรัก คนรักหนูไปรบในสงครามแล้วไม่ได้กลับมา หนูเลยตั้งจิตอธิษฐานอย่างแรงกล้า ว่าหนูจะอยู่ที่นี่ ตรงนี้ รอจนกว่าเค้าจะกลับมาพบกันอีก”
“เดี๋ยวนะคะ แล้ว…พอตายในชาติที่แล้ว แล้ววิญญาณไม่ได้ไปผุดไปเกิดเป็นหนูเหรอ??”
“วิญญาณบางคนมีได้มากกว่าหนึ่งนะ ดวงจิตมีได้มากกว่าหนึ่งดวง หนูรู้จักโรคหลายบุคลิกที่ฝรั่งเค้าเรียกว่า มัลติเพิ้ล เพอร์ซันนอล ดิสซอเดอร์มั้ยล่ะ? นั่นแหละเหตุผล”
“โอเค สมมติว่าวิญญาณอีกดวงของหนูอยู่ตรงนั้น แล้วเค้าต้องการอะไรจากหนู”
“เค้ารอแฟนเค้ามานับศตวรรษ การที่หนูไปนอนตรงนั้น มันเหมือนเป็นทริกเกอร์ทำให้เค้าตื่นขึ้นมา บางที…เค้าอาจจะอยากได้กายหยาบไปหาแฟนของเค้า”
“ที่ผ่านมาหนูมีแฟน ก็รักๆเลิกๆ หมอพูดถูกมั้ย? หนูคบกับใครก็ต้องเลิกทุกราย ทุกอย่างมันเพราะพันธนการจากอดีตชาตินี่แหละ ที่สำคัญคือเค้าเจอแฟนเค้าในชาตินี้แล้ว”
บอกตามตรง…ฟังจบเราก็ช็อคไปเลย นี่เรากำลังดูละครหลังข่าวอยู่รึเปล่า ถ้าไม่ใช่เพราะว่าเจอกับนตัว ได้ยินกับหูมาหลายสัปดาห์ เราคงคิดว่า…หมอนี่เป็นนักต้มตุ๋นไปแล้ว อย่างไรก็ตามเราก็พยายามจะสอบถามถึงวิธีแก้ไข อาจรย์บอกว่า…ความมุ่งมั่นเค้าแรงกล้ามาก เค้าไม่ยอมไปจากเราง่ายๆแน่ เค้าก็คือเรา เราก็คือเค้า เพียงแต่มาจากคนละห้วงเวลา ห้วงมิติ ห้วงจักรวาลกัน มันตัดกันไม่ขาด
อาจารย์บอกว่าลำดับแรก ให้ไปไหว้พระ 9 วัด อธิษฐานขอถอนคำสัญญาจากชาติที่แล้ว คำมั่นใดๆที่เคยสัญญาจากชาติใด พบใด ชาตินี้เราไม่ได้รับรู้ด้วย ขอแคนนเซิลให้หมด จากนั้นให้ไปปฏิบัติธรรมห่มขาว อย่างต่ำ 7 วัน เราต่อรองกับอาจารย์ ขอเป็นทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้เจ้ากรรมนายเวร ไม่ได้เหรอ แต่อาจารย์บอกว่า… “เค้าไม่ได้มาเพื่อต่อรอง” บุญธรรมดาเค้าไม่ยอมรับไปหรอก
เราไปปฏิบัติธรรมตามคำแนะนำที่วัด ก็รู้สึกได้ว่าอาการผีอำเราตอนนอนเริ่มหายไป แต่ในระหว่าง 7 วันก็พบเจอเหตุการณ์แปลกๆบ้าง เช่น เห็นเงาดำตะคุ่มแอบมองมาจากหลังต้นไม้บ้าง หรือบางทีเวลาที่ส่องหรือเดินผ่านกระจก เรารู้สึกเหมือนกับว่า ภาพที่สะท้อนบนนั้น ไม่ใช่ตัวเรา มันมีบางอย่างที่ขัดๆอยู่เล็กๆ
กระทั่งวันแห่งพันธะสัญญามาถึง เย็นวันนั้นพี่เนมโทรศัพท์มาหาเราแต่ไม่ได้รับ มีมิสคอลขึ้นมา 4-5 สาย ดูเหมือนจะมีเรื่องด่วน บางทีอาจจะเป็นความคืบหน้าจากอาจารย์ก็ได้ เราเลยโทรกลับไป
“พี่ไปคุยกับอาจารย์ที่สำนักมาแล้วนะ อาจารย์ทำพิธีเรียกดวงวิญญาณของผู้หญิงคนนั้นมาหา”
“ยังไงคะ เรียกมาพบได้ด้วยเหรอ”
“เรารู้จักกุมารทองใช่ไหมล่ะ อาจารย์ท่านมีบริวารมาก ท่านก็ให้น้องๆพวกนั้นไปตามตัวมา”
มันก็คงจะเหมือนกับเอลฟ์ประจำบ้านล่ะมั้ง…อย่างไรก็ตาม เราไม่ได้ตอบอะไร แต่ฟังต่อ
“แล้วรู้มั้ยว่าพี่เจออะไร ผู้หญิงไงล่ะ ผู้หญิงคนนั้น…หน้าตาเหมือนเราอย่างกับแกะ”
ใช่จริงๆสินะ มีตัวเรา “อีกคนนึง” มาปรากฎตัวบนโลกนี้ แต่สิ่งที่ชวนตะลึงมากกว่านั้นคือ หลังจากผู้หญิงคนนั้น…ตัวเราเองอีกคนมานั่งอยู่ในตำหนัก ก็เอาแต่ร้องห่มร้องไห้ แล้วบอกว่า…
“กูทนรอ รอของกูมาตั้ง 290 ปี จะมาให้กูไปเหรอ…ไม่มีทาง!”
“ทำไมเอ็งต้องหาทางผลักไสกูด้วย ไม่ใช่เอ็งเหรอที่สัญญากับกูไว้ ว่าจะรักกูคนเดียว จะกลับมาหากู…”
“บุญเบิญอะไร…กูไม่เอาทั้งนั้น ไม่เอาทั้งน้านนน”
แล้วเทียนทุกเล่มก็ดับพรึ่บพร้อมๆกัน กระทั่งลูกศิษย์อาจารย์ฉายไฟส่องเข้ามา จึงเห็นว่าตัวเราอีกคนหายไปแล้ว
มันช่าง “บังเอิญ” อะไรขนาดนี้ หรือความจริงแล้วมันเป็นชะตากรรม ถึงตรงนี้ความจริงก็ปรากฏ ผู้ชายที่เคยสัญญากับตัวเราเมื่อชาติที่แล้ว คนรักที่ตัวเราอีกคนรอคอยมานานเกือบ 3 ศตวรรษ คือ…พี่เนมนี่เอง
หลังจากนั้นเราปรึกษากันได้ความว่า ต้องทำบุญใหญ่ให้เค้าโดยที่ทั้งเรากับพี่เนมเป็นเจ้าภาพร่วมกัน ทำบุญร่วมกัน …