จากเรื่อง : เล่าประสบการณ์…ภรรยาเก่าผมตาย และเธอไปเกิดเป็นเปรต
เรื่องเล่าจาก : เรื่องเล่าสยองขวัญ พันทิป
เล่าโดย : สมาชิกหมายเลข 4020977
สวัสดีครับทุกท่าน กระผมชื่อบุญส่ง (นามสมมุติ) อายุอยู่ในวัยพอสมควร ผมใช้เวลาไตร่ตรองอยู่นานว่าควรจะแบ่งปันเรื่องราวของผมดีหรือไม่ เหตุผล เพราะผมเป็นคนไม่ค่อยอยากจะยุ่งเกี่ยวกับโซเชียลมากนัก ด้วยเป็นคนสมถะ ไม่ค่อยชอบสุงสิงกับใครเกินความจำเป็น
แต่พระอาจารย์ ผู้มีเมตตา และกรุณาช่วยเหลือผม ท่านแนะนำว่า ผมคือผู้มีประสบการณ์ตรง เหมือนพระพุทธองค์ท่านตรัสรู้แล้วออกประกาศสิ่งที่พระพุทธองค์รู้ ให้ผู้อื่นได้รู้ด้วย จึงจะเกิดกุศล ผมเองก็ควรจะออกไปประกาศสิ่งที่พบ ให้ผู้อื่นได้รู้เช่นเห็นจริงดังที่ผมได้เจอมา
ผมถามพระอาจารย์ว่า มันจะดีจริงๆหรือครับ เพราะเรื่องพวกนี้ ทุกวันนี้ มันกลายเป็นหนัง เป็นความงมงาย เป็นเรื่องตลกขบขันไปหมดแล้ว หากผมนำออกไปเล่า คงจะมีคนพากันเหน็บแนม ดูถูกให้ผมเคืองใจเป็นแน่
พระอาจารย์ตอบผม บัวยังมี4เหล่า เต่ายังมี4ขา ปลาหรือก็มีหลายชนิด มนุษย์ล้วนเป็นไปตามกรรม หากเขาฟังเธอ แล้วติเตียนเหน็บแนมเธอ ก็ขอให้คิดเสียว่า นั่นคือกรรมของเขาเอง
แต่หากมีผู้ฟังสิ่งที่เธอเล่า แล้วประพฤติตาม นั่นคือผู้มีบุญ เธอเล่าไป1000คนมีคนเชื่อเธอแล้วเขาเปลี่ยนแปลงตัวเองให้เกรงกลัวต่อบาปเพียง1คน นั่นคือกุศลต่อตัวเธอแล้ว
เมื่อได้ฟังคำตอบดังนี้แล้ว ผมจึงตั้งใจมาถ่ายทอดเรื่องราว ชีวิตของผมเอง ให้ท่านได้พิจารณาตามแต่เวรและกรรมของตัวท่านเอง
ว่าจะมองไปในทิศทางไหน เรื่องที่จะเล่านี้ ผมไม่ได้แต่งเติมเสริมความแต่ประการใด เป็นการพยายามเรียบเรียงจากความทรงจำ
ผมไม่ใช่นักเล่า นักพูดมืออาชีพ เป็นเพียงผู้ปฏิบัติธรรมขั้นต้น ที่มาเล่าสู่ท่านฟังท่านอ่านเท่านั้น ขออย่าได้กล่าววาจาว่าร้ายต่อกัน
แต่เพราะเรื่องราวนี้ มีผู้เกี่ยวข้องโดยตรงคือ อดีตภรรยาของผมและเธอก็เป็นแม่ของลูกสาวผม ผมไม่ได้ต้องการมาประจานเธอ
ผมจึงขอใช้นามแฝง และไม่เจาะจงลงไปให้แคบมากเกินไป เพราะนั่นไม่ใช่ใจความสำคัญที่ต้องการจะสื่อให้ทราบ
ผมเป็นคนบ้านนอกครับ เป็นคนกระบี่ ผมมีพี่น้อง6คน พ่อแม่ผมค่อนข้างมีฐานะ เพราะมีสวนปาล์มหลัก100ไร่
ผมเป็นลูกคนสุดท้อง เลยได้มีโอกาสเรียนสูงกว่าพี่น้องคนอื่นๆ ผมเรียนจบ ปริญญาตรี ซึ่งในยุคนั้นคนจบ ป.ตรี ถือว่ามีความเก่งและได้รับการเยินยอ ยอมรับจากชาวบ้านค่อนข้างสูง ผมมาเรียนที่กรุงเทพ ก็ยังติดใจสังคมเมือง เลยบอกครอบครัวไปว่า ผมจะขอหางานทำอยู่ที่นี่ ถ้าไม่ได้ไม่ดี ค่อยกลับใต้ ไปช่วยครอบครัวบริหารงานสวนปาล์ม พ่อแม่ผมก็ตามใจ ช่วงนั้นผมไปได้งานที่ชลบุรี ในปี42
ผมทำงานที่นั่นได้2ปี กลางๆปี44 ผมไปสะดุดตาสาวโรงงานคนหนึ่งเข้า เธอเป็นคนผิวขาว รูปร่างหน้าตาดี ผมตกหลุมรักเธอตั้งแต่ครั้งแรกที่ได้พบในร้านข้าวแกง ที่ผมไปนั่งกินเป็นครั้งแรก เพราะร้านนั้นชาวโรงงานจะนิยมมากินกัน และยูนิฟอร์มเธอก็บ่งบอกให้รู้
ผมเองตอนนั้นก็เป็นหนุ่มแน่น ตั้งใจเรียนจนได้งานทำ ก็ไม่เคยมีแฟน ถึงจะเคยชอบๆสาวกรุงเทพบ้าง แต่ก็ไม่เคยไปสานสัมพันธ์กับใคร ผมไม่กล้าเข้าไปทัก ได้แต่แอบมอง เพราะเธอนั่งกับเพื่อนเธอหันหน้ามาทางผม
บ่อยครั้งที่เผลอสบตา ผมก็จะหลบไปมองอย่างอื่นทุกครั้ง ตั้งแต่วันนั้นมา ผมก็จะไปนั่งกินข้าวที่ร้านนั้นทุกวัน ผมทำแบบนั้นอยู่ประมาณ1เดือน ผมไม่เคยเห็นว่าเธอจะเดินควงผู้ชายสักครั้ง
ผมจึงมั่นใจว่าเธอน่าจะยังไม่มีคู่ครอง เลยเริ่มที่จะถามคุณป้าเจ้าของร้านข้าวแกงเกี่ยวกับเธอคนนั้น คุณป้าก็บอกข้อมูลผมเท่าที่คุณป้าทราบว่า
อ๋อ นั่นหรอ ชื่อ มาลัย (นามสมมุติ) คนอุบล เป็นคนงานโรงงานนี้แหละ ลูกผัวไม่มีหรอก ทำไม สนใจหรือ
ผมบอกคุณป้าไปตามตรงว่า ที่ผมมานั่งกินข้าวร้านนี้ทุกวัน เพราะชอบสาวคนนั้น คุณป้าก็หัวเราะ แล้วยิ้มคุยกับผมด้วยความเป็นกันเอง
คุณป้าบอกผมว่า รักชอบ ก็เข้าไปคุยดูสิ ไม่ลองจีบ แล้วจะมีเมียได้ยังไง
วันรุ่งขึ้น ผมจึงรวบรวมความกล้า เข้าไปพูดจาปราศรัยกับเธอ ด้วยคำว่า …สวัสดีครับ ผมชื่อบุญส่ง มันคงจะดูแปลกๆที่ผมเข้ามาคุยกับคุณ เพราะเราไม่รู้จักกัน
แต่ผมอยากบอกกับคุณว่า ผมจะขอรู้จักกับคุณจะเป็นการรบกวนไหม ถ้าคุณจะไม่ถูกใจและปฏิเสธผมก็จะไม่รบกวนคุณ แต่ผมอยากบอกว่า ที่ผมมานั่งกินข้าวร้านนี้ทุกวัน เพียงเพราะผมอยากเห็นหน้าคุณ
เธอมองผมเหวอๆ และหันไปทำท่าเขินๆกับเพื่อนของเธอ ที่นั่งอยู่2คน เธอคุยกันเป็นภาษาอีสาน ซึ่งผมก็ไม่ค่อยเข้าใจนัก
เพื่อนเธอคนหนึ่งถามผมว่า …ชอบมาลัยหรือ….ผมบอก (ใช่ครับ) พวกเธอเชิญผมนั่งข้างๆมาลัย ผมยิ้มให้มาลัย มาลัยเขินม้วน เอามือปิดปาก
แล้วยิ้มหัว พูดอะไรไม่ออก เมื่อยามที่เพื่อนของเธอยิงคำถามและคำแซวใส่ผมแทนมาลัย เพราะการแต่งตัวของผมนั้น เห็นได้ชัดว่า
ทำงานมีตำแหน่ง ไม่ใช่ระดับแรงงาน การเริ่มต้นครั้งนั้น จบลงที่เพื่อนของมาลัย เป็นคนชวนพูดและยุยงเสียส่วนใหญ่
เพราะมาลัยเหมือนจะเอาแต่เขินจนพูดไม่ออก คงจะไม่ชิน เพราะผมเป็นคนที่พูดจาสุภาพ ในขณะที่มาลัยจะเป็นคนพูดเล่นแก่นนิดๆเมื่อเจรจากับเพื่อนของเธอ
เธอไม่มีโทรศัพท์ ผมจึงจะสามารถคุยกับเธอได้ ผ่านการไปพบเจอที่ร้านข้าวแกงร้านนั้น หรือหากอยากจะเจรจายาวๆ
ผมก็จะเขียนจดหมาย พร้อมการ์ดสวยๆ ไปให้เธอ เพื่อที่ผมจะพรรณนาความรู้สึกทั้งหมดให้เธอได้รู้ แล้วเธอก็ตอบสนองผมด้วยการ
เขียนจดหมายคุยกลับมาเช่นกัน ผมคุยกับเธออยู่แบบนั้นเรื่อยมา ผมเรียนรู้และศึกษาเธอทั้งข้อมูลส่วนตัว อุปนิสัยใจคอ
เธอเรียนมาแค่ ม.3 และทางบ้านมีฐานะไม่ดี เธอเคยมีสามีผูกข้อไม้ข้อมือกันมาตั้งแต่อายุ16 พออายุได้20 สามีเธอคนนั้น ก็เลิกกับเธอไป
ทำให้เธอตัดสินใจมาทำงานโรงงานกับเพื่อนที่ชลบุรีจนถึงตอนนี้ มีคนมาจีบมาลัยเยอะ เพราะมาลัยเป็นคนขาว สวย รูปร่างดี ตามฉบับสาวงามเมืองอุบล
หลังเทศกาลปีใหม่ ปี45 ผมกลับมาทำงาน ผมไปรอเจอมาลัยที่ร้านข้าว ตั้งแต่วันแรกที่เริ่มงาน แต่ผมไม่เจอมาลัย ผมเจอแต่เพื่อนของเธอ ผมทุกข์ใจเพราะเธอไม่มีโทรศัพท์ จะโทรถามก็ไม่ได้ เลยไปถามเพื่อนเธอ ว่ามาลัยหายไปไหน เพื่อนเธอบอกว่า มาลัยย้ายที่ทำงานแล้ว
เพราะทางบ้านมาลัยมีหนี้ก้อนใหญ่ งานโรงงานได้เงินน้อย เธอเลยไปพัทยา จะไปทำงานที่นั่น ผมตกใจเมื่อรู้ว่ามาลัยจะไปทำงานที่พัทยา
คนรูปร่างหน้าตาดี แต่เรียนมาน้อยอย่างมาลัยจะไปทำงานอะไรได้ ให้ได้เงินมากๆ ผมลางานในวันรุ่งขึ้น และจ้างเพื่อนของมาลัยให้พาผมไปหามาลัย ด้วยเงิน1000บาท เพื่อนของมาลัยก็พาผมไปหามาลัยที่พัทยา เป็นร้านนวด
ผมขอเจอมาลัย เจ้าของร้านก็ให้เจอ มาลัยตกใจ แล้วบอกผมว่าจะมาทำไม ผมบอกกับเธอว่าผมรักเธอ และอยากจะรับเธอไปอยู่ด้วยกัน เธอจะได้ไม่ต้องมาทำงานในที่แบบนี้ มันดูไม่ดีนักหรอก ส่วนเรื่องแต่งนั้น ผมจะเข้าไปคุยกับทางบ้านของเธอเองที่อุบล
เธอดูลังเล เธอบอกว่าเธอต้องทำงานเพื่อหาเงินช่วยครอบครัวไปใช้หนี้เขา เธอคงไปอยู่กับผมไม่ได้หรอก ผมถามเธอว่าเท่าไหร่กัน
เธอบอกผมว่า (2แสน) ผมเองตกใจมาก เพราะเงิน2แสน ยุคนั้น มันไม่น้อยเลย ผมเองก็ทำงานมา มีเงินเก็บไม่ถึงแสนเลย
แต่ผมก็บอกเธอไปว่า เดี๋ยวผมจะหาทางช่วยมาลัยเอง ขอแค่มาลัยเลิกทำงานนี้ แล้วไปอยู่เป็นเมียผมที่ห้องเช่า
มาลัยจะทำงานโรงงานตามเดิม หรือทำงานอื่นก็ได้ ส่วนหนี้นั้นผมจะพยายามช่วยเหลือเอง
มาลัยมีความลังเล เหมือนเธอใช้ความคิดอย่างหนัก แต่เพื่อนเธอที่ไปด้วย ก็ช่วยพูด จนมาลัยยอมลาออก และมาอยู่กับผมในฐานะเมีย
ผมโทรไปบอกกับแม่เรื่องผมมีเมียแล้ว แม่ผมก็แสดงอาการไม่พอใจอยู่มาก เมื่อรู้ปูมหลังของเมียคนแรกผม เหมือนจะบอกว่า แม่มองหาสาวแถวบ้านที่เหมาะสมไว้ให้แล้ว อย่าเอาเลยคนนั้น
แต่เมื่อผมบอกไปว่า ผมกับมาลัยได้เสียกันแล้ว และมาลัยก็ท้องกับผมแล้ว แม่จะให้ผมทิ้งเธอกับลูกของผมหรือ แม่ผมเป็นคนธรรมมะธรรมโม เมื่อรู้แบบนั้น แม่ก็ เออๆ แล้วแต่ผมแล้วกัน ผมเลยถือโอกาสขอยืมเงินแม่
1แสน5หมื่นบาท เมื่อตอนพาเมียลงมาไหว้แม่ ในช่วงสงกรานต์ แม่ผมไม่ขัดข้อง เพราะผมยืนยันว่าผมจำเป็นต้องใช้เงิน
แล้วจะคืนให้แม่ทุกบาท และการเจอกับญาติๆของผมในครั้งนั้น แรกๆก็ดูอึมครึมอยู่บ้าง แต่เพราะมาลัยเป็นคนที่เข้ากับคนได้ค่อนข้างดี สมัยนี้คงใช้คำว่า (เฟรนลี่) น่าจะได้ ทำให้ญาติๆผมรู้สึกชอบมาลัยในที่สุด
ตอนผมพามาลัยไปบ้านครั้งแรกนั้น เพื่อนเก่าๆผม ล้วนแต่มาแซวผมว่า ผมทำบุญด้วยอะไร หน้าตาก็ธรรมดา แต่หาแฟนได้สวยขนาดนี้ ผมได้แต่ยิ้มๆและพูดคุยไปว่า บุพเพสันนิวาสนั่นแหละ มาลัยยังกลับไปทำงานโรงงานเดิม เพิ่มเติมคือมาลัยท้องลูกคนแรกกับผม
พอขึ้นปีใหม่ปี46 ผมไปบ้านมาลัยที่อุบล เพราะทางบ้านของเธออยากเจอตัวผัวมาลัย คนที่ส่งเงิน2แสน มาช่วยบ้านเธอปลดหนี้
ผมเป็นคนมีสัมมาคารวะ ผมเลยเป็นที่รักของครอบครัวมาลัย ครอบครัวเธอก็ต้อนรับผมดี ผมคุยกับพ่อแม่เธอว่า มาลัยท้อง แต่ผมยังมีเงินไม่พอจะมาขอแต่งงาน พ่อแม่เธอว่า ไม่ต้องแต่งให้เปลืองหรอก ผูกข้อต่อมือ เอาเงินใส่พาน999บาทก็พอแล้ว สินสอดมันเรื่องเล็กน้อย
มาลัยโชคดีแค่ไหนแล้ว ที่ได้ผัวแบบผม ผมเลยเข้าพิธีผูกข้อไม้ข้อมือกับมาลัยในช่วงนั้น
ปลายปี46 มาลัยคลอดลูกให้ผม เป็นลูกสาว ร่างกายแข็งแรงสมบูรณ์ดี ผิวขาวเหมือนแม่ ผมให้มาลัยลาออกจากงาน มาเลี้ยงลูกเฉยๆ
เพราะไม่อยากให้เธอเหนื่อยเกินไป แล้วจะได้ดูแลลูกของเราด้วย พอลูกได้3ขวบ พ่อกับแม่ผมก็บอกว่า ทำไมต้องให้เมียกับลูกไปอยู่
ใกล้เขตโรงงาน มีแต่ฝุ่นและสารเคมีทั้งนั้น ลูกกับเมียจะไม่แข็งแรงได้นะ ผมถามแม่ว่า ผมควรทำยังไง เพราะผมก็ต้องทำงาน และตำแหน่งงานตำแหน่งเงินก็ดีขึ้นเรื่อยๆ ถ้าจะให้ผมลาออกเพื่อพาเมียย้ายไปที่อื่น ผมก็เสียดาย แม่ของผมจึงเสนอว่า แม่จะขอเอาหลานไปเลี้ยงเอง ผมถามมาลัย มาลัยบอกก็ดีนะ เพราะแม่ผมเลี้ยงลูกหลานมาหลายคน คงไม่น่าห่วงอะไร แล้วเธอก็จะได้กลับมาทำงานด้วย
เธอเองก็เบื่อที่จะเลี้ยงลูกอยู่บ้านเหมือนกัน ลูกสาวของผมจึงถูกแม่ผมมารับตัวไปอยู่ด้วยกันที่กระบี่ ส่วนทางผมนั้นก็ยังตั้งหน้าตั้งตาทำงานต่อไป ส่วนมาลัย เธอก็กลับมาทำงาน พร้อมๆกับการเรียน จนจบ ม.6 กศน. จนกลางๆปี51 ตอนนั้นลูกผมได้5ขวบ
ผมเองก็มีเงินเก็บจากการทำงานจำนวนหนึ่ง จึงคิดอยากจะซื้อบ้านไว้ให้ลูกมาอยู่พร้อมหน้ากัน ตอนนั้นผมเองก็มีรถยนต์แล้ว
มาลัยบอกกับผมว่า ถ้าจะมีบ้าน เราไปซื้อที่ดินสร้างบ้านที่อุบลบ้านเกิดเธอดีไหม เพราะคนข้างบ้านเธอคนหนึ่งประกาศขายที่ดิน
ที่อยู่ติดกับบ้านพ่อแม่เธอ ราคาไม่แพงมาก เพราะในอนาคต เธออยากไปอยู่ดูแลพ่อแม่ที่แก่เฒ่าใกล้ๆ ผมเลยตกลงไปซื้อที่ดินผืนนั้นไว้แล้วลงเงินสร้างบ้านขนาดพออยู่1ครอบครัวขึ้น1หลัง ผมลงไปรับลูกสาวที่กระบี่ ไปหาตากับยายของน้องที่อุบลบ้าง ลูกสาวผมหน้าตาน่ารัก
เพราะได้แม่มาทั้งดุ้น ญาติๆของมาลัยต่างรุมรักในตัวลูกสาวผมกับมาลัยทั้งนั้น เราใช้ชีวิตกันแบบนี้อย่างมีความสุขเรื่อยมา
พอหลังปีใหม่ ปี53 มาลัยก็มาอ้อนผม ว่าจะขอกลับไปอยู่บ้าน ที่สร้างไว้อุบล เธอบอกว่า พ่อแม่เธอตอนนี้ ป่วยกระเสาะกระแสะ
เธออยากไปอยู่ใกล้ๆเพื่อดูแลพ่อแม่ ผมไม่ขัดใจมาลัย เพราะผมเข้าใจดีว่า บุตรที่ดี พึงมีความกตัญญูต่อบุพการี ข้อนี้ผมเห็นดีด้วย
ผมให้มาลัยกลับไปอยู่ดูแลพ่อแม่เธอที่อุบล พร้อมเงินก้อนนึง ให้เธอไปเปิดร้านขายของชำหน้าบ้าน ผมเป็นคนไปช่วยซื้อของเข้าร้าน
และดัดแปลงหน้าบ้านให้เป็นร้านขายของชำ หลังบ้านก็ปลูกพืชผักสวนครัวไว้กิน พอเสร็จเรื่อง ผมก็กลับมาทำงานที่ชลบุรีตามเดิม
แล้วติดตามข่าวสารของมาลัยและลูกผ่านทางโทรศัพท์ มาลัยขายของก็ไม่ได้กำไรอะไรมากมาย แค่พออยู่ได้ในแต่ละเดือนๆ หลักๆแล้วผมจะส่งเงินไปให้เธอมากกว่า ส่วนลูกสาวผมที่กระบี่นั้น แม่ผมบอกไม่ให้ผมส่งเงินไปให้ เพราะแม่ผมมีเงินเหลือเฟือจะเลี้ยง กลัวผมลำบาก
แม้ผมจะอยู่ตามลำพังคนเดียว ผมก็ไม่เคยเลี้ยวใจไปมองหาใครอื่น แม้จะมีสาวๆหลายคนมาให้ความสนใจผมด้วยหน้าที่การงานการเงิน
ที่ดูพอจะมีอยู่บ้าง ผมนึกถึงหน้าลูกและมาลัยเสมอ ผมโทรคุยกับลูก ที่ตอนนั้นโตมากพอจะรู้ความ
เกือบๆปลายปี53 ผมก็ได้กลิ่นเค้าลางไม่ดี เพราะคนที่ผมไปตีซี้ไว้ที่บ้านของมาลัย เขาโทรมาบอกผมว่า เขาเห็นแฟนคนเก่าของมาลัย
(คนที่เคยผูกข้อมือกันตอนเธออายุ16) มาป้วนเปิ้ยนที่ร้านขายของชำของมาลัยอยู่ไม่ขาด และบางครั้งพากันซ้อนท้ายมอเตอร์ไซค์ ไปไหนมาไหนด้วยกันอีกด้วย พ่อแม่ของมาลัยก็เคยไปต่อว่าเกี่ยวกับเรื่องนี้ เพราะผู้ชายคนนั้นเคยเจ้าชู้จนต้องเลิกกับมาลัยไปคบคนที่รวยกว่ามาแล้ว
ผมไม่หือไม่อือกับคำบอกกล่าวของเพื่อนคนนั้น แต่ผมเก็บไว้ในใจ ผมยังเข้าข้างตัวเองว่า ตอนนั้นมาลัยก็ไม่ได้อายุน้อยๆแล้ว และเป็นแม่คน
คงจะไม่ทำอะไรเกินเลย ผมเชื่อมั่นว่า ผมเป็นสามีที่ดีมาตลอด ทำดีต้องได้ดีสิ แต่เพื่อนคนนั้นก็โทรมาบอกผมทุกครั้ง ว่ามาลัยกำลังนอกใจผมไปกับแฟนเก่าแน่ๆ อยากให้ผมมาดูบ้าง ผมโทรถามมาลัย มาลัยก็ดูหงุดหงิดถามผมว่าใครไปบอก เพราะเธอไม่เคยทำแบบนั้น
เธอพยายามจะถามเอาคำตอบจากผมให้ได้ ว่าใครเป็นคนมาบอกผม ผมก็จะพยายามเบี่ยงประเด็นไปเรื่องอื่นทุกครั้ง
ปีใหม่ปี54 ผมโทรโกหกมาลัย เป็นการโกหกกับเธอครั้งแรกในชีวิตผม แต่การโกหกของผม ผมต้องการพิสูจน์ความจริง ผมบอกเธอว่าปีใหม่ปีนี้ ผมจะลงใต้ไปหาพ่อแม่ และจะพา
ลูกสาวเที่ยวปีใหม่ คงไม่ไปหามาลัยที่อุบล มาลัยจะลงใต้กับผมไหม ผมจะไปรอรับที่กรุงเทพ แล้วขับรถไปด้วยกัน มาลัยบอก ไม่ไป เธอขี้เกียจไป ผมจึงแอบไปอุบล โดยไม่บอกใครทั้งนั้น ผมไปซุ่มจอดอยู่ไม่ไกลจากบ้านมาลัย แล้วย่องเข้าไปทางหลังบ้าน ตอนนั้นผมเหมือนคนโรคจิตที่ทำตัวลับๆล่อๆ ตอนค่ำ ผมเห็นมาลัยปิดร้าน โดยมีผู้ชายคนหนึ่ง
ขับมอเตอร์ไซค์มารับออกไป ผมโทรหาเธอประมาณ2ทุ่ม ทำตัวปกติ ถามเธอว่าทำอะไรอยู่ เธอโกหกผมหน้าตาเฉยว่ากำลังจะนอน ทั้งที่ตอนนั้นผมอยู่หลังบ้านเธอ ผมกัดฟันโกรธเธอจนตัวสั่น น้ำตาไหล ก่อนที่ผมจะพูดต่อน้ำเสียงเรียบๆว่า
“ตอนนี้พี่จอดรถอยู่หน้าบ้าน มาเปิดประตูให้พี่หน่อยสิ พี่เรียกตั้งนานแล้ว เธอไม่ได้ยินหรือ”
เธอมีน้ำเสียงตกใจทันที ว่า ห๊า…ทำไมผมไม่ยอมบอกว่าจะมาหาเธอ ไหนว่าผมจะกลับบ้านที่ใต้ไง
ผมบอก ผมอยากมาเซอร์ไพรส์เธอ ผมซื้อของขวัญปีใหม่มาให้ด้วย ออกมาเปิดประตูให้พี่เข้าบ้านได้แล้ว (ผมรู้อยู่เต็มอกว่าเธออยู่ข้างนอก แต่ผมก็อยากให้เธอรู้สึกร้อนรนบ้าง)
มาลัย มีน้ำเสียงที่อ่อยๆไป แล้วบอกผมว่า ตอนนี้เธอออกมาเที่ยวงานปีใหม่ในเมืองกับเพื่อน ให้ผมไปรอที่บ้านพ่อแม่เธอก่อนได้ไหม
เดี๋ยวเธอจะรีบกลับไป ผมบอกได้สิ ได้อยู่แล้ว ผมคิดถึงมาลัยจะแย่แล้ว
ผมวางสาย นั่งร้องไห้อยู่พักใหญ่ ข้อมูลที่เพื่อนคนนั้นบอกมาเป็นความจริงทั้งหมด ผมนึกขึ้นได้ว่าผมมีกุญแจบ้าน ที่แอบปั๊มเก็บไว้อีกชุด และมาลัยก็ไม่รู้เรื่องนี้
โชคดีที่เธอไม่เคยเปลี่ยนกุญแจบ้านผมจึงกลับไปขับรถมาจอดหน้าบ้านแล้วไขกุญแจเข้าไปในบ้าน ผมสวมวิญญาณเป็นนักย่องเบาบ้านตัวเอง ค้นตามตู้เสื้อผ้า ลิ้นชักในห้องนอนของภรรยา
จนไปเจอถุงยางอนามัย3-4กล่องด้านในสุดของลิ้นชัก ผมคว้าออกมาได้ก็ทิ้งตัว นั่งร้องไห้โฮ เหมือนถูกแม่ตีตอนเด็กๆ ผมไม่เคยใช้ถุงยางเวลามีอะไรกับภรรยาสักครั้ง แล้วเธอจะอ้างอะไรกับถุงยางจำนวนนี้
ผมไปค้นในถังขยะ เจอถุงยางใช้แล้วถูกทิ้งอยู่3-4ชิ้น นี่ยังไม่รวมการค้นพบกางเกงบ๊อกเซอร์ผู้ชาย ที่ก้นตะกร้าเสื้อผ้าใส่แล้วอีก1ตัว ผมหยิบเอาของพวกนั้น มาวางแล้วนั่งรอที่หน้าบ้าน
ประมาณ1 ชม. มาลัยก็กลับมา พร้อมผู้ชายคนนั้น มันจอดรถหน้าบ้านส่งมาลัย แล้วทำท่าจะขับออกไป ผมตะโกนบอก อย่าพึ่งไป
มาคุยกันก่อน…ดังลั่น…. ถ้าไป กูยิง (ผมขู่ไปแบบนั้นทั้งที่ไม่มีปืน) มาลัยยืนรีๆรอๆ ผู้ชายคนนั้นจอดรถไว้ แล้วเดินเข้ามาหาผมตรงหน้าบ้าน
มาลัยเดินตัวสั่นๆเข้ามาเรียกชื่อผม พอเธอมองเห็นสิ่งของที่ผมเอามากองไว้ เธอก็พุ่งมากอดผม เรียกชื่อผม แล้วเริ่มบทมารยาเจ้าน้ำตา
ขอโทษผม ขอโอกาสผม โดยที่ผมยังไม่ทันพูดกล่าวว่าอะไรเธอด้วยซ้ำ เธอกอดผมแน่น แล้วมุดหน้าเปียกน้ำตาเข้ามาที่ตัวผม
ผู้ชายคนนั้น ยืนก้มหน้านิ่ง ผมถามเขาดีๆ ว่าไปไหนกันมาหรือ เขาบอกผมว่า ไปเที่ยวครับพี่
ผมกวักมือเรียกเขาให้มานั่งคุยกันก่อน ผมไม่ทำอะไรเขาหรอก
มาลัยร้องไห้และส่งเสียงดัง จนพ่อแม่เธอได้ยินและลุกขึ้นมาดู พอเห็นผมนั่งอยู่ ท่านก็พากันมาที่ผม ผมยกมือไหว้ตามปกติ
ผมยังมีสติแยกแยะได้ว่า ใครผิด ผมนั่งลงบนระเบียงบ้านข้างๆชายคนนั้น โดยมีมาลัย นั่งที่พื้น กอดขาเอาหน้าซบโคนขาผมอยู่
พอพ่อแม่มาลัยมาร่วมนั่งด้วย ผมก็เริ่มพูดคุยถึงเรื่องที่เกิด พ่อกับแม่เธอ ท่านได้แต่พูดเรียบๆว่า ท่านพยายามบอก พยายามต่อว่ามาลัย
จนเหนื่อยแล้ว ท่านว่ามาลัยผิด แล้วแต่ผมเลยว่าจะเอายังไง ผมถามชายที่เป็นสามีเก่ามาลัย ว่าเขามีอะไรกับมาลัยกี่ครั้งแล้ว
ตั้งแต่เมื่อไหร่ ที่ไหน เขาก็เล่าให้ผมฟังหมด แม้มาลัยจะพยายามกล่าวห้าม แต่ผมก็ปรามมาลัย และขอให้เขาเล่าให้หมด ไม่งั้นปืนที่เอวผมอาจจะลั่นได้ (จริงๆที่เอวตอนนั้นมีแค่หนังสติ๊กที่ผมเอามาจากข้างบ้านแล้วเหน็บไว้ให้ดูเหมือนมีปืน เสื้อคลุมคลุมไว้เลยดูโป่งๆออกมา)
เขาก็เล่าให้ผมฟังทั้งหมดว่า เขาเห็นมาลัยอยู่คนเดียว และนานๆผมจะกลับมา เลยมาเย้ามาแหย่มาลัยพูดคุยถึงความหลังของเขากับมาลัย เขาใช้วาจาที่ดีโน้มน้าวมาลัย แล้วเขาก็เป็นคนหน้าตาดี ที่ไม่มีงานทำอะไร อาศัยจีบสาวมีเงินแล้วเกาะไปเรื่อยๆ พอมาลัยกลับมาแบบคนมีเงิน เขาเลยมาเกาะแกะมาลัย แล้วก็ทำได้สำเร็จ ทั้งๆที่ก็รู้ว่ามาลัยมีลูก และมีผมแล้ว ผมถามมาลัยว่าทำไมเธอถึงทำกับผมได้ลง
ไม่คิดถึงลูก คิดถึงผมบ้างหรือ ไม่สงสารผมบ้างหรือ ทำไมไม่คิดบ้างว่า ความรักของผมที่มอบให้เธอ มันมีค่าแค่ไหน มาลัยเอาแต่ร้องไห้ และบอกว่าเธอผิดไปแล้ว เธอขอให้ผมอภัยให้เธอ แล้วเธอจะไม่ทำอีก
ผมหันหน้าไปถามชู้รักของมาลัย ด้วยคำถามว่า (ถ้าเมียน้องแอบมีชู้ น้องจะให้โอกาสเขาไหม) เขาตอบผมว่า ไม่รู้ครับ
ผมถามมาลัย ว่ามาลัยทำเพราอะไร เธอบอกเธอแค่เหงา และเธอเผลอไป แต่เธอรักผมกับลูก
ผมบอกมาลัย คนเราควรได้รับโอกาสกลับใจ เพราะลูกผม ยังต้องการแม่ ผมจึงบอกให้ชู้รักคนนั้นของมาลัยกลับบ้านไปแล้วอย่าโผล่มาอีก
พอชายคนนั้นไปแล้ว ผมพูดกับพ่อแม่มาลัยว่า ถ้าผมจะขอเอามาลัย ลงใต้ไปอยู่บ้านผม พ่อแม่จะว่าอะไรไหม
พ่อแม่มาลัยไม่ขัดข้อง ว่าเอาตามที่ผมเห็นสมควรเถอะ ผมลูบศีรษะมาลัย สมเพส ปนสงสาร เพราะเธอร้องไห้และกอดขาผมแน่น ใจจริงผมอยากเลิกกับเธอให้จบๆไป
หากเธอไม่แสดงอาการรักผม กลัวเสียผมไปขนาดนี้ แล้วผมก็รักเธอมากเช่นกัน
ผมพูดกับมาลัยว่า..คนทุกคน ควรได้รับโอกาสกลับตัวกลับใจ ผมให้เธอจุดธูปสาบานต่อหน้าศาลปู่ตาของหมู่บ้าน
ว่าจะไม่ทำแบบนี้อีก หากทำอีกขอให้ชีวิตพบแต่ความวิบัติ ตายไปก็ขอตกนรกหมกไหม้ มาลัยก็ยอมสาบาน
ผมจะพาเธอไปอยู่บ้านพ่อแม่ผม ผมจะสละหน้าที่การงาน ลงไปสร้างครอบครัวอยู่ด้วยกันที่นั่นอย่างอบอุ่น
มาลัยจะได้ไม่ต้องเหงา หรืออ้างว้างอีก พอรุ่งขึ้น ผมยกข้าวของในร้านทั้งหมดให้พ่อแม่มาลัย
เพราะกลัวมันจะเน่าเสีย ผมให้มาลัยเก็บข้าวของและเอกสารกลับพร้อมกับผม มาพักที่ชลบุรี ผมแวะไปลาออกจากที่ทำงาน นายจ้างก็ตกใจ เพราะผมมาลาออกกะทันหัน จะหาคนมาแทนตอนนั้นคงไม่ได้ ผมเลยต้องอยู่จนสามารถหาคนมาแทนได้ ในอีก1เดือนต่อมา
ผมโทรบอกพ่อแม่และลูกสาวล่วงหน้า ว่าผมลาออกจากงานแล้วนะ จะขอพากันไปใช้ชีวิตครอบครัวที่กระบี่เหมือนครอบครัวอื่นเสียที พ่อแม่ผมท่านล้วนยินดี เพราะอยากให้ผมกลับไปอยู่ใกล้ๆนานแล้ว ผมมีเงินก้อนใหญ่ จากการทำงาน และขายบ้านพร้อมที่ดินที่อุบล
ลงมาด้วย ผมไม่เคยพูดถึงสิ่งที่มาลัยทำกับผมให้ใครฟัง ผมบอกมาลัยว่า ต่อไปนี้ มาลัยคือสะใภ้ปักษ์ใต้ เป็นคนใหม่แล้วนะ อภัยคืออภัย
จะไม่มีการถือโทษกันอีก ขอให้ใช้ชีวิตไปตามปกติ ผมกลับมาใช้ชีวิตสมถะ บริหารจัดการสวนปาล์มช่วยพ่อแม่
ผมกลัวมาลัยจะลำบากกับงานในสวนปาล์ม เลยให้เธออยู่บ้านคอยดูแลบ้าน และลูกสาวคนเดียวแทน
เพราะมาลัยต้องมาสร้างสัมพันธ์กับลูกใหม่ เพราะไม่ได้ใช้ชีวิตด้วยกันมานานแล้ว
แต่ลูกสาวผม กลับไม่ค่อยชอบมาลัย เพราะลูกสาวผมเขาชินกับการไม่มีพ่อแม่มาคอยบงการชีวิต พอมาลัยมาอยู่ใกล้ๆคอยดูคอยเตือน
เลยทำให้ลูกสาวผมออกลูกหงุดหงิดเสมอ จนผมเผลอตีลูกด้วยตัวเองหลายครั้ง เพราะน้องนิ้ง(นามสมมุติ) ไม่ให้ความเคารพพร้อมๆกับด่าทอ
คนเป็นแม่อย่างมาลัยทุกที ที่ มาลัยพยายามสอนหรือแนะนำน้องนิ้ง
น้องนิ้งจะเชื่อฟังแม่ผมที่สุด เพราะอยู่ด้วยกันตลอด ผมเล่าเรื่องนี้ให้แม่ฟัง แม่ก็จะเอาธรรมมะเข้าคุยเข้าเตือนน้องนิ้ง
โดยเฉพาะเรื่อง กรรมจากการด่าทอบุพการี ตายไปจะกลายเป็นเปรต
น้องนิ้ง ก็เหมือนเด็กสมัยใหม่ทั่วไป ที่ได้รับอิทธิพลยุคใหม่เข้าไปเยอะ เลยไม่ค่อยจะเชื่อมากนัก
ตอนนั้นปี55 น้องนิ้งอายุได้10ปี เธอเป็นหลานที่แม่ผมรัก
และหวงมากๆ ผมเองก็ให้สิทธิ์ขาดการปกครองกับแม่ผม
แม่ผมพยายามโน้มน้าว ชักจูงน้องนิ้ง เข้าวัด ทำบุญ ฟังธรรมมะในวันสำคัญทางศาสนา ประพฤติตนเป็นคนดี
ผมเองก็เข้าวัดทำตัวเป็นแบบอย่างให้น้องนิ้งได้เห็น แม่ผมจะกรอกหูน้องนิ้ง ด้วยเรื่องของบาปบุญคุณโทษ ว่าทำบาปแบบใด
พอตายไปจะได้ผลแบบใด หากเล่าแบบจริงจังเกินไป น้องนิ้งก็จะไม่ค่อยฟัง แต่พอเล่าแบบนิทานก่อนนอน
น้องนิ้งจะสนใจฟังเป็นพิเศษ น้องนิ้งมักถาม ว่าเปรต มันมีจริงๆหรือ ปู่ย่าเคยเห็นไหม ผมเคยเห็นไหม
แม่ผมก็จะบอกว่า ครอบครัวเราไม่เคยมีใครเห็นเปรตหรอก เพราะการที่คนเราจะเห็นเปรตได้ ต้องมีองค์ประกอบหลายอย่าง
โดยเฉพาะ คนที่จะเห็นเปรตได้ ต้องเป็นญาติกับเปรต หรือมีความผูกพันกับเปรตสมัยเป็นคนมาก่อน แต่ครอบครัวเรา ไม่เคยมีใครเลว
ถึงขั้นจะกลายเป็นเปรตได้ เพราะครอบครัวเรา เชื่อฟังที่คนรุ่นก่อนๆสอนสั่ง ให้ประพฤติตัวเป็นคนดีเสมอมา เลยไม่มีใครเห็น
น้องนิ้ง ก็จะค่ะๆๆอยู่แบบนี้ กึ่งๆเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง
พอกลางปี56 อิทธิฤทธิ์โซเชียลแผลงฤทธิ์ มาลัยแอบเล่นโซเชียล จนไปเจอกับผู้ชายคนหนึ่ง แล้วเธอถูกใจเขามาก
จนแอบไปคุยกันในระหว่างที่ผมทำงาน และลูกไปโรงเรียน มันผิดปกติตรงที่เธอจะหายไปจากบ้านทุกๆเย็น เธออ้างว่าจะไปเต้นแอโรบิค
แรกๆผมก็ไม่สงสัย เพราะแค่คนเราเต้นแอโรบิคเอง แต่วันนึง ผมนึกสนุก อยากไปแจมกับมาลัย เลยตามไปที่ลานเต้นแอโรบิคที่ว่า
ผมตามหามาลัย ทั่วบริเวณ รถของมาลัยจอดทิ้งไว้ แต่ตัวเธอหายไป ผมโทรหาเธอไม่ติด ผมเลยเอารถผมไปซ่อนไว้แล้วไปแอบซุ่มรอ
จนใกล้ถึงเวลาที่ การเต้นแอโรบิคใกล้จบ ก็มีผู้ชายคนนึง ดูเป็นหนุ่มรุ่นๆ หน้าตาดี ขับรถมอเตอร์ไซค์เข้ามาส่งเธอ ส่งยิ้มให้กันหวานชื่น ผมเดินลิ่วๆออกจากที่ซ่อนเข้าไป กว่าที่มาลัยจะรู้ตัว ผมก็เกือบจะถึงจุดที่เธออยู่กับเด็กหนุ่มแล้ว
มาลัยเห็นผม เธอเหวอๆ แล้วรีบทำท่าไล่เด็กหนุ่มไป แต่เด็กหนุ่มคงไม่รู้ ก็เลยรั้งรอไม่ยอมไป แถมเอามือทำท่าจะจับอกของมาลัย
ต่อหน้าต่อตาผม ผมเข้าถึงตัว จับไหล่เด็กหนุ่ม เด็กหนุ่มหันหน้ามา มองหน้าผม
ผมถาม
เด็กหนุ่มตอบผมว่า เขาจะหยอกเมียเขา ผมมายุ่งอะไร
มาลัยส่งเสียงตวาดเด็กหนุ่ม ว่า ใครเมียเธอ อย่าพูดจามั่วซั่วนะ
เด็กหนุ่มทำหน้าตาสับสน หันไปมองมาลัย ว่า เอ้า แล้วที่ได้กันหลายครั้งนี้ไม่ใช่เมีย พี่จะให้ผมเรียกอะไร
หน้าตาของผมตอนนั้น เหมือนทศกัณฑ์กำลังโกรธ ผมกัดฟัน กั้นอารมณ์ หน้านิ่ว คิ้วขมวด เจ็บปวดไปหมด จนผมไม่รู้ว่าผมจะหาคำบรรยายใดมาอธิบายได้ มือของผมขยุ้มหัวไหล่เด็กหนุ่ม จนมันบอกให้ผมปล่อยเพราะมันเจ็บ ผมพยายามพูดอย่างปกติ ทั้งที่ใจสั่นอย่างหนัก ผมถามเด็กหนุ่ม
น้องรู้ไหม ว่าเค้ามีลูกมีผัวแล้ว ลูกเค้า10ขวบแล้ว และผัวเค้าก็ยืนอยู่ตรงนี้
เด็กหนุ่ม หันหน้าไปหามาลัย แล้วพูดใส่มาลัยด้วยอารมณ์ว่า ((อ้าวไหน พี่ว่าเป็นม่าย หลอกผมทำไมพี่))
เด็กหนุ่มยกมือพนมขอโทษผม ด้วยภาษาใต้ เขาบอกเขาไม่รู้จริงๆ ถ้ารู้เขาคงไม่ทำแบบนี้
ผมบอกเด็กหนุ่มว่า ไม่เป็นไร เขาไม่ได้ทำครั้งแรกหรอก แต่ช่วยเล่าให้พี่สว่างที ว่าเรื่องมันเป็นยังไง ถึงมาได้เสียกัน
เด็กหนุ่มก็เล่าให้ผมฟังว่า…..เจอกับมาลัยทางเฟสบุ๊ค เห็นว่าอยู่กระบี่เหมือนกันเลยแอดไปคุย
….เขาก็คุยแบบหนุ่มหยอกสาว สองแง่สองง่ามใส่มาลัยตลอด เพราะมาลัยชอบแต่งตัวยั่วยวนลงเฟส พร้อมประโยคอ่อยๆ
ผมขอให้เด็กหนุ่มเปิดเฟสให้ดู เพราะตอนนั้น ผมไม่รู้จักหรอก ว่าเฟสคืออะไร เขาก็เปิดให้ผมดู พบว่าจริงตามว่า
มาลัยแอบเล่นเฟสโดยที่ผมไม่รู้เรื่องรู้ราว มีทั้งรูปโชว์ร่องโชว์เนินทรวงอก โชว์ไหล่ โชว์ขาอ่อน มีคนมาตามเม้นต์ใต้รูปเยอะแยะ
เพราะเธอเป็นคนขาว หน้าตาดี แม้จะอายุมากขึ้น แต่ก็สวยสมวัย
เด็กหนุ่มบอกว่า เขาคุยกับมาลัยทางนี้บ่อยๆ อ่อย2แง่2ง่ามกันไปมา จนมาลัยบอกว่าเธอมาเต้นแอโรบิคที่นี่ทุกเย็น
อยากเห็นตัวจริงก็มาดูเอาเอง เด็กหนุ่มก็มา มาลัยโกหกตลอดว่าเป็นแม่ม่าย พอเจอกันเกิดถูกใจกัน
ก็ท้าทายกันในเชิงอย่างว่า จนนำพาไปสู่การผิดประเวณี โดยที่ไม่เคยป้องกันสักครั้ง เพราะตอนนั้นมาลัยกินยาคุมอยู่จึงไม่ท้อง
ผมแค้นที่สุด แต่ก็ปล่อยเด็กหนุ่มไป เพราะถือว่ามันเองก็ถูกหลอก ผมบอกให้มาลัยกลับมาคุยกันที่บ้าน
มาลัยบอกคุยกันที่นี่ให้จบเลยได้ไหม
เธออายลูก อายครอบครัวผม ผมบอกทีตอนทำไม่คิด ตอนนี้อย่ามาใช้สิทธิ์อาย ไปคุยกันที่บ้านให้รู้เรื่องไป หรือไม่งั้น ก็ขับมอเตอร์ไซค์
หายไปเลยก็ได้ ไม่ต้องกลับบ้าน มาลัยยอมขับรถตามผมกลับบ้าน พอมาถึงบ้าน ผมยืนดักมาลัยไว้ตรงประตูบ้าน ตรงระเบียงหน้า
ผมผลักเธอ ไม่ยอมให้เข้าบ้าน เธอร้องไห้ ยกมือไหว้ผม ผมยืนร้องไห้น้ำตาไหลแหมะๆ พ่อกับแม่ผม เดินเข้ามา ถามผมมีอะไรกัน
ผมขอให้พ่อ พาน้องนิ้งเข้าห้องที่ชั้น2ไปที น้องนิ้งถามผมว่า มีอะไรพ่อ นิ้งจะดูละคร มาให้พานิ้งเข้าห้องทำไม เป็นครั้งแรกที่ผมขึ้นเสียง
และทำหน้าตาดุดันใส่ลูก ทั้งที่ตอนผมตีน้องนิ้งผมก็จะบอกเหตุผลการตีกับเขานิ่งๆมาตลอด น้องนิ้งต้องยอมขึ้นไป
มาลัยทรุดตัวลงนั่งพับเพียบกับพื้นระเบียงหน้าบ้าน ก้มหน้าพนมมือ และบีบน้ำตา ภาพเมื่อปี54 วนกลับมาให้เห็นอีกครั้ง
ผมเริ่มการด่า ด่าแบบหนักที่สุดเท่าที่ชีวิตผมเกิดมาพึงจะทำ เหมือนผมอัดอั้นตันใจ ญาติๆผมหลายคน ได้ยิน ก็เดินเข้ามา แต่ไม่มีใครกล้า
ปริปากพูดอะไร เพราะผมด่าไปนั้น เป็นการอธิบายสิ่งที่ผมเจอได้ดีที่สุดแล้ว มาลัยได้แต่นั่งร้องไห้พนมมือก้มหน้ารับคำด่าของผม
เพราะสิ่งที่ผมด่าเธอไป เธอไม่มีทางหาอะไรมาค้านได้เลย เพราะผมด่าในเรื่องจริงทั้งนั้น แม่ผมยืนลูบหลังผมอยู่ตลอด บอกให้ผมลดอารมณ์
ผมด่ามาลัยอยู่ประมาณ 1 ชม. ผมไล่ให้เธอออกไปจากชีวิตผม ครอบครัวผม เพราะครอบครัวผม ไม่เคยมีคนเปรตๆแบบนี้ ไปไหนก็ไป
ไม่งั้นผมอาจจะต้องเข้าคุก เพราะบันดาลโทสะ ฆ่าเมียตัวเอง ผมยังอยากอยู่เลี้ยงลูก
มาลัยใช้ความพยายามมาอ้อนวอนขอร้องผมเหมือนครั้งที่แล้ว ผมฟื้นความทรงจำให้เธอ ว่าจำได้ไหม ว่าเคยสาบานอะไรไว้
คนมักมากในกามแบบเธอ ให้เท่าไหร่ก็คงไม่พอ มันไม่ใช่ความผิดพลาดพลั้งพลาด แต่มันคือสันดาณ ที่ฝังรากลึกในวิญญาณของเธอ
เธอมันมาจุติในร่างนางฟ้า แต่ข้างในเธอไม่รู้มาจากขุมไหน “ถ่าหยังไปถะแหมะ ฟ่าวไปซะเถาะ” ผมไล่เธอด้วยภาษาบ้านเกิดของเธอ
ผมตะคอกให้เธอไปเก็บข้าวของส่วนตัว ทั้งเอกสารต่างๆ ผมยกมอเตอร์ไซค์ให้ แล้วผมจะให้เงินไปตั้งตัวอีก1แสน
มากพอแล้วสำหรับคนแบบนี้ จริงๆผมจะไม่ให้ก็ได้ เพราะผมไม่ได้จดทะเบียนสมรสกับเธอ เธอรีรอ และพยายามจะเข้ามากอดผม
ผมผลักเธอจนผมเธอยุ่งเหยิง เธอเก็บของยัดลงกระเป๋าช้าๆ มีเสียงสะอื้น และพยายามสบตาผมตลอด
ผมเองก็น้ำตาไหล แม่ผมตามมองตลอดด้วยความเป็นห่วง กลัวผมพลั้งมือทำอะไรรุนแรงเกินไป
เธอนั่งยองๆพนมมือขอผมว่า ให้เงินให้รถเธอ แล้วเธอจะไปไหนได้ เธอไม่มีญาติพี่น้องที่นี่ มีแต่ลูก
ผมบอกเธอ ก็ไปอยู่กับผัวเด็กเธอดูสิ เงินก็มี รถก็มี มันคงต้อนรับอยู่หรอก เธอก็ยังสวยอยู่
ภาพแห่งยุคสมัยที่ผมเคยตกหลุมรักเธอตั้งแต่แรกพบ ผุดขึ้นมาเป็นฉากๆ อะไร ทำไม เพราะอะไร ทำให้ผู้หญิงหนึ่งคน กลายเป็นแบบนี้ เทคโนโลยีที่ก้าวไกลเร็วเกินไปหรือ เป็นที่ใจคนที่ไวกว่ากันแน่ ผมรักเธอมาก
ทุ่มเททั้งใจ หน้าที่การงานและทรัพย์สินเงินทอง ผมไม่รู้ว่ามันกรรมอะไรของผม
เธอจะขอไปกอดลาน้องนิ้ง ผมไม่ว่าอะไร น้องนิ้งถามว่าแม่จะไปไหน มาลัยร้องไห้กอดลูก แม่ผมมาดึงผมไปคุย ว่าสงสารมาลัย
จริงที่มาลัยกระทำผิดมหันต์ซ้ำซาก แต่การจะไล่มาลัยไปแบบนี้ มันจะใจร้ายเกินไปไหม ยังไงเธอก็เป็นแม่ของน้องนิ้ง ผมถามแม่ว่าแล้ว
จะให้ผมทำยังไง มาลัยทำผิดแบบนี้กับผมเป็นครั้งที่2แล้ว ผมทำใจอภัยให้เธอมา1ครั้งมันกล้ำกลืนไม่พออีกหรือ
แม่บอกงั้นก็ให้มาลัยอยู่ที่นี่ ในฐานะแม่ของลูก แต่ไม่ใช่ฐานะเมียของผมก็ได้ น่าจะเป็นทางออกที่ดีกว่าไล่ออกไปให้ลูกกำพร้าแม่
ผมจึงเชื่อที่แม่แนะนำ เพราะผมก็ทนสงสารไม่ได้ ถึงเวลาปกติน้องนิ้งจะไม่ค่อยแสดงอาการว่ารักมาลัยมากนัก แต่พอรู้ว่าผมจะไล่มาลัยออกไปพ้นจากบ้าน น้องนิ้งก็ร้องไห้กอดกับมาลัย และมาขอให้ผมอย่าไล่แม่น้องนิ้งออกจากบ้าน
ผมดึงมาลัยมาคุยต่อหน้าแม่ และญาติพี่น้องทุกคน ผมประกาศตัดความสัมพันธ์ฐานะสามีภรรยากับมาลัย แต่จะให้มาลัยยังอยู่ในบ้าน
ในฐานะแม่ของน้องนิ้ง และห้ามมาลัยมาวุ่นวายกับทรัพย์สมบัติในบ้านทุกอย่าง เว้นแต่จะได้รับการยกให้หรือเจ้าของอนุญาต
มาลัยอยากจะมีสามีใหม่ หรืออะไร ก็สามารถไปมีได้ แต่ห้ามพาเข้ามาในบ้าน หากอยากอยู่กับสามีใหม่เป็นตัวเป็นตน ก็ขนของออกไปได้ทุกเวลา แต่ห้ามกลับเข้ามาในบ้านอีกถ้าออกไปแล้ว
ผมให้มาลัยขนของ ของเธอ ไปนอนอยู่ที่บ้านหลังเล็ก ที่เป็นบ้านหลังเก่า เป็นบ้านไม้ทรงไทยปักษ์ใต้ ที่เป็นมรดกตกทอดมาจาก
พ่อเฒ่าแม่เฒ่าของผม บ้านหลังนั้น ไม่มีคนไปอยู่นานแล้ว ห่างไปประมาณ50เมตรทางด้านหลัง ผมเคยเสนอให้รื้อทิ้ง แต่พ่อแม่ผมท่านไม่ยอมรื้อ บอกว่า เสียดาย เพราะบ้านหลังนั้น พ่อเฒ่าเป็นคนลงแรงเลื่อยไม้ด้วยตัวท่านเอง แล้วท่านก็เสียชีวิตในบ้านหลังนั้นทั้งคู่
มาลัยเธอกล้าๆกลัวๆที่จะอยู่ที่บ้านหลังนั้น เธอขอร้องว่าเธออยู่ไม่ได้หรอกคนเดียว เธอกลัว ผมบอกเธอจะกลัวอะไร บาปกรรมหนักหนาเธอยังไม่เห็นกลัวที่จะทำเลย พ่อเฒ่าแม่เฒ่าผมไม่ทำอะไรเธอหรอก ถ้ายังอยากอยู่กับลูก ก็นอนอยู่นั่นล่ะ
น้องนิ้งคงเกิดความสงสารมาลัย น้องมาขอผมไปนอนกับมาลัย น้องอ้างว่าอยากนอนกอดแม่ แต่ผมรู้ว่าจริงๆแล้วน้องนิ้งสงสารแม่
กลางวันมาลัยจะมาบ้านหลังใหญ่ ช่วยแม่ผมทำงาน สำหรับผม ถ้าเจอหน้าเธอ ผมก็จะเดินหลบ ไม่พูดคุยด้วย ไม่ร่วมวงกินข้าวด้วย
ผมตัดการให้เงินมาลัยไว้ใช้จ่าย แต่ผมยังส่งเงินให้พ่อแม่ของเธอที่อุบล เพราะถือว่าท่านคือตากับยายน้องนิ้ง ที่ผมต้องช่วยเหลือ
นานวันเข้าน้องนิ้งเหมือนจะสนิทและรักมาลัยมากขึ้น เพราะน้องนิ้งจะไปอยู่กับมาลัยตลอด ด้วยวิสัยผู้หญิงที่เริ่มโตเริ่มสนใจ
ความสวยความงามและมาลัยก็ตอบสนองความอยากรู้ในเรื่องนี้ได้พอดี พอปีใหม่ปี2558 มาลัยขอแม่ผมกลับไปบ้านที
อุบล
เพื่อไปเยี่ยมพ่อแม่เธอ เธออยากจะเอาน้องนิ้งไปด้วย แต่ผมไม่ยอมเด็ดขาด มาลัยจึงได้กลับไปอุบลคนเดียว
มาลัยไปครั้งนี้ มาลัยไม่ยอมกลับมาอีก
น้องนิ้งโทรไปหามาลัย ถามว่าทำไมแม่ไม่กลับมา มาลัยบอกกับน้องนิ้ง ว่าเธอไม่อยากกลับมาทนอยู่ในสภาพที่ผมไม่สนใจอีก
มาลัยบอกน้องนิ้งว่า สักวันแม่จะไปหาหนูนะ แล้วมาลัยก็ปิดการติดต่อสื่อสารทางโทรศัพท์ ไม่มีใครสามารถโทรหาได้อีก
เหมือนเธอจะเปลี่ยนซิม แต่ผมนั้นจำได้ว่าเธอเล่นโปรแกรมเฟสบุ๊คอยู่ ผมเลยหัดเล่นเฟสบุ๊ค แล้วเข้าไปแอบดูเฟสบุ๊คของเธอ
มาลัยหันไปทำงานที่พัทยา งานเดียวกับเมื่อครั้งที่ผมไปรับตัวเธอมาเมื่อ10กว่าปีก่อน ถึงเธอจะอายุเพิ่มมากขึ้น แต่ก็ยังเหมือนกระดังงาลนไฟ ผมเห็นเธอใช้ชีวิตสนุกสนานไปวันๆ อัพรูปคู่ผู้ชายมากหน้า ลงในเฟสบุ๊ค ผมเอาให้น้องนิ้งดูว่าแม่ของน้องใช้ชีวิตยังไง
น้องนิ้งเงียบ ไม่ได้พูดอะไร ผมสงสารลูก แต่ได้แค่กอดแล้วปลอบใจ ผมบอกน้องนิ้งว่าอย่ากังวลไปนะ พ่อรักน้องนิ้งอยู่ตรงนี้
ผมจึงตัดการติดต่อ หรือส่งเสียพ่อแม่ของมาลัยในตอนนั้น เพราะถือว่า มาลัยได้ตัดขาดจากผมโดยสมบูรณ์ไปแล้ว
ผมปิดการรับรู้ ไม่ตามไปดูชีวิตมาลัยอีก
พอใกล้ๆปลายปี58 แม่ผมก็ไปทาบทามผู้หญิงในหมู่บ้านคนหนึ่งให้แต่งงานอยู่กินเข้าบ้านผม ผมตามใจแม่ และเธอคนนั้นก็ไม่ได้ขัดข้องอะไร เธอเป็นผู้หญิงที่หน้าตาธรรมดา แต่เป็นคนขยันทำมาหาหากิน ดูแลงานบ้านงานเรือนดี นิสัยดี เรียบร้อย เคยมีสามีมาแล้วแต่สามีทิ้งไปมีคนใหม่ แต่ไม่มีลูกด้วยกัน ผมเรียกเธอว่ากานดา (นามสมมุติ) เธอเข้ามาอยู่ในบ้าน ก็ทำหน้าที่ได้ไม่มีขาดตกบกพร่อง
แรกๆผมก็ไม่กล้ายุ่งกับเธอ เพราะไม่ได้สนิทสนมกันมาด้วยความรัก แต่พอเห็นเธอกลายมาเป็นที่รักของน้องนิ้ง และญาติๆผม ผมจึงนอนกอดเธอได้อย่างสนิทใจ
กลางปี59 ประมาณเดือน มิถุนายน คืนนั้นก็มีเรื่องประหลาด บ้านผมเป็นบ้านใหญ่2ชั้น และห้องนอนของผม จะอยู่ด้านหลังสุด บนชั้น2 และมีหน้าต่างที่มองไปเห็นบ้านเก่าหลังเล็กของพ่อเฒ่าแม่เฒ่าได้พอดี ผมกำลังหลับสนิท แต่รู้สึกรับรู้ได้ถึงการสะกิดที่แขนหลายครั้ง ผมงัวเงียตามเสียงเรียกกระซิบกระซาบกลางดึก
“พี่ พี่ พี่บุญส่ง”
“มีอะไรหรือ กานดา ปลุกพี่ทำไม”
“เสียงใครร้องก็ไม่รู้พี่ ดังมาจากหลังบ้าน โหยหวนจนขนลุกเลยพี่”
ผมยันตัวขึ้น พยายามเงี่ยหูฟัง ได้ยินแต่เสียงจิ้งหรีด กบเขียด กับเสียงใบไม้ที่โดนลมพัด…
“ไหนล่ะกานดา พี่ไม่เห็นได้ยินอะไรเลย นอนเถอะน้อง”
กานดาเอนตัวลงนอนตามแรงโน้มของแขนผม เธอเบียดตัวเข้ามาชิดผมผิดปกติ แล้วมุดหน้าลงใต้ผ้าห่ม กอดเอวผมไว้แน่น
ผมหลับสนิทไปจนถึงเช้า แล้วตื่นมาทำงานตามปกติ ผมลงมา เห็นกานดานั่งคุยกับแม่ที่หน้าบ้าน ผมแอบฟังว่าเขาคุยอะไรกัน
กานดาบอกแม่ผม ว่าเธอได้ยินเสียง เหมือนเสียงคนร้องไห้ ฮืดดดดดดดดดด ฮือออออออออออออ ฮื๊ออออออออ
สลับเสียงร้องโอดโอย เหมือนคนกำลังเจ็บปวดอย่างรุนแรง เสียงมันบาดหูโหยหวนมาก
ดังแว่วมาตอนกลางดึกเมื่อคืนนี้ กานดานอนฟังเสียงนั้นอยู่นาน และรู้ได้ว่าเสียงนั้นดังมาจากทางหลังบ้าน
แต่กานดาไม่กล้าลุกขึ้นเปิดหน้าต่างดู เพราะเสียงร้องฟังดูน่ากลัวผิดปกติ
คืนต่อมา ผมถูกปลุกอีกครั้ง แต่เป็นการปลุกด้วยเสียงร้องเสียงหลงลั่นห้องของกานดา เธอร้องกรี๊ดๆๆๆๆจนบ้านแทบแตก
ผมเปิดไฟ เห็นกานดาไปนั่งพิงผนังห้องร้องไห้น้ำหูน้ำตาไหล สายตามองไปทางหน้าต่าง อาการของเธอบ่งบอกว่าหวาดกลัวอะไรอย่างหนัก
แม่ผมมาเคาะประตูเรียกว่ามีอะไรกัน ผมเปิดประตู พ่อกับแม่เดินเข้ามาถามว่าเป็นอะไร ถึงได้กรี๊ดผิดวิสัยกานดาแบบนี้ กานดาเสียงสั่นบอกแม่ผม
“แม่ ผีหลอกหนู”
“ผีอะไรลูก ไหนผีอะไร ไม่เคยมีใครบ้านนี้เจอผีเลย อยู่กันมา”
กานดาเล่าว่า เธอหลับๆอยู่ ก็ปรือตาขึ้น สายตามองไปตรงหน้าต่างพอดี หน้าต่างนั้นติดมุ้งลวด แต่ไม่ได้ปิดบานหน้าต่าง
ยังมองเห็นข้างนอก ตอนนั้นเธอก็เห็นว่า เหมือนมีเงาอะไรบางอย่าง โผล่ออกมาจากด้านข้างของหน้าต่าง แต่เธอไม่มั่นใจนัก
จึงลืมตามองฝ่าความมืดอยู่นิ่งๆ เธอก็เห็นว่า เงาที่ว่านั้น มันผลุบๆโผล่ๆออกมาจากด้านข้างของหน้าต่างไม่หยุด
กานดาคิดว่า เป็นตัวอะไรสักอย่างหรือเปล่าที่เธอไม่รู้จัก เธอจึงลุกขึ้นไปดูใกล้ๆ แต่ไม่ได้เปิดมุ้งลวดออกไป
จู่ๆเงาที่ว่านั้น ก็โผล่พรวดออกมาในระยะกระชั้นชิด มีแค่บานมุ้งลวดกั้น เธอว่า เงานั้นทรงหน้ามันคือใบหน้าคน เหมือนคนหัวโล้น
กานดา เลยกรี๊ดลั่น แล้วพุ่งถอยหลังทิ้งตัวลงไปนั่งพิงผนังห้อง แล้วร้องลั่นจนทุกคนตื่น
แม่ผมก็เปิดมุ้งลวดแล้วชะโงกออกไปดู ก่อนจะปิดแล้วหันมาบอกให้กานดาไปนอนที่ห้องแม่ก่อนคืนนี้
รุ่งเช้าทุกคนในบ้านก็รู้เรื่องที่กานดาเจอ แม่ผมบอกให้กานดาไปทำบุญ ถวายสังฆทาน ถวายเพลพระ แล้วกรวดน้ำไปให้เขา
ซึ่งตอนนั้น ทุกคนก็ไม่รู้ว่าเป็นใคร แม่ผมว่า อาจจะเป็นวิญญาณเจ้ากรรมนายเวรของกานดา ตามมาขอส่วนบุญก็ได้
หรืออาจจะเป็นวิญญาณสามีเก่าของกานดา ที่ได้เสียชีวิตไปก็ไม่แน่
แม่บอก เมื่อคืนตอนที่แม่เปิดมุ้งลวดชะโงกออกไปดูนั้น แม่เห็นว่ามีเงาประหลาด ยืนอยู่ข้างบ้านหลังเก่า เงานั้นสูงเทียมหลังคาบ้านหลังเล็ก
พ่อผม ทักว่า หรือจะเป็นผีพ่อเฒ่าแม่เฒ่าหรือเปล่า ท่านอาจจะมาดูหลานสะใภ้คนใหม่อย่างกานดาก็ได้ เพราะกานดายังไม่เคยไปกราบไหว้
พ่อเฒ่าแม่เฒ่า ฝากตัวที่บ้านหลังนั้นเลย เพื่อความสบายใจ พ่อผมก็พากานดาไปจุดธูปบอกกล่าวพ่อเฒ่าแม่เฒ่าที่บ้านหลังนั้น
เหตุการณ์ก็สงบลง กานดาไม่มีการพบเจออะไรแปลกๆอีก
แต่คนที่เจอคนต่อมา คือน้าอ่อง (นามสมมุติ) เป็นคนงานแทงปาล์มชาวพม่าแต่มาได้เมียเป็นคนไทยอยู่ที่นี่
คืนนั้นฝนตกห่าใหญ่มาตั้งแต่ย่ำเย็น จนค่ำก็หยุด มีเสียงกบเสียงเขียดร้องระงม
หลังบ้านผมไปไม่ไกล จะเป็นลำห้วย ที่มีสัตว์น้ำพอได้หากิน น้าอ่องแกออกไปส่องกบ แล้วเขาเดินผ่าน
เลียบข้างรั้วบ้านพ่อแม่ผมไป เขาก็ยังมาตะโกนคุยกับพ่อของผมเสียงโหวกเหวกอยู่ตอนขาไป เพราะรู้จักกัน
น้าอ่องหายเงียบไปนาน ผมกำลังจะหลับก็ได้ยินเสียง
โอ๊ยยยยยยยยยยยยยยยยยยย โว้ยยยยยยยยยยยยยยย ช่วยด้วยยยยยยย !!!!
แหกปากผ่านข้างบ้านผมไปอย่างรวดเร็ว ผมลุกไปเปิดหน้าต่างด้านข้าง มองออกไปเห็นหลังน้าอ่องวิ่งอยู่ลิบๆไปตามถนน
เพราะไฟฉายติดศรีษะอยู่มองเห็นไฟลอยไปเหมือนไฟกระสือ ปากก็ยังส่งเสียงร้องไม่หยุด จนลับตา
เช้าตรู่ พ่อผมกลับมาจากหลังบ้าน พร้อมถุงตาข่ายที่มีกบอยู่หลายตัว ถูกทิ้งไว้เยื้อง นอกรั้วบ้าน ใกล้ๆบ้านหลังเก่าผม
พ่อผมบอก สงสัยของไอ่อ่องเมื่อคืน ไม่รู้มันกลัวอะไร วิ่งร้องลั่นเลย
พ่อผมเป็นคนพาถุงกบตามไปให้น้าอ่อง ก่อนจะกลับมาเล่าให้ฟังว่า เจอหน้าอ่องหนีไปอยู่วัด ให้ตาหลวงรดน้ำมนตร์
พอเข้าไปสอบถามก็ได้ใจความว่า เมื่อคืนส่องกบจนได้เยอะมากพอ เลยเดินกลับทางเดิม พอเดินๆมาจนใกล้ๆถึงรั้วหลังบ้าน
บ้านเก่าหลังเล็ก ตอนแรกส่องไฟตามทางตรงเพื่อดูทางเพราะกลัวงู แต่รู้สึกเหมือนเห็นอะไรแว้บๆที่หางตาอยู่ตลอด
พอเดินมาตรงเหลื่อมๆบ้านหลังเล็กหน่อยเดียว ก็ได้ยินเสียงดัง ตุ๊บ….เหมือนมีอะไรตกจากที่สูงลงพื้นดิน
ก็เลยหยุดเดินแล้วมอง เอาไฟส่องไปก็เห็นว่าเป็นขาคน เลยส่องไฟสูงขึ้นตามไปเรื่อยๆ ก็เห็นว่าเป็นร่างคนลักษณะพิกลพิการ
น้ำเลือดน้ำหนองเน่าเฟะตลอดตัว ตัวช่วงบนบวมใหญ่ แต่ขาลีบเล็ก ยืนห้อยแขนข้างหนึ่งยาวเฟื้อยลงมาถึงหัวเข่า ตัวสูงพอๆกับหลังคาบ้าน
แขนอีกข้างลีบเล็ก จับขอบหน้าต่างบ้านไว้ ก้มหน้าลงพื้นหัวล้าน มีผมขึ้นเป็นกระจุกๆ หน้าอกกลวงเป็นรูโบ๋
มีหนอนไต่ยุบยับเข้าออกจากรู2รูตรง.อก น้าอ่องเลยร้องลั่นแล้วทิ้งกบวิ่งตัวปลิวหนีเมื่อคืน
น้าอ่องว่า เดินผ่านไปจับกบเป็นร้อยๆครั้ง ไม่เคยเจอ พึ่งมาเจอเอาวันนี้ น้าอ่องว่าไม่เอาอีกแล้ว ไม่กล้ามาแล้ว
ข่าวเรื่องน้าอ่อง เจอผีหลอกที่ข้างบ้านหลังเก่าพ่อแม่ผม ดังไปทั่วละแวกนั้น หลายๆคนเข้ามาถามข่าว แม่ผมก็ได้แค่ตอบไปว่า
ไม่รู้เหมือนกัน แต่เคยเห็นอยู่ว่ามีเงาคนสูงเทียมบ้านยืนข้างบ้าน แต่ไม่ได้เห็นชัดๆ ไม่รู้ว่าเป็นผีของใคร
หลายๆคนลือกันว่า อาจจะเป็นวิญญาณของพ่อเฒ่าแม่เฒ่าผมก็ได้ แต่พ่อแม่ผมก็แย้งว่า ไม่จริงหรอก เพราะพ่อเฒ่าแม่เฒ่าเสียไปหลายปี
ท่านไม่เคยออกมาหลอกใครเลย ก่อนจะเสีย ท่านก็เป็นคนธรรมมะธรรมโม คนในหมู่บ้านก็รู้ทั่ว ท่านไม่มีทางออกมาทำให้คนกลัวหรอก
หากท่านยังอยู่จริงๆที่บ้านนั้น เพื่อความสบายใจ พ่อแม่ผมท่านก็ไปนิมนต์พระมาสวดทำบุญที่บ้าน เพราะลูกหลานเริ่มกลัวไม่กล้าเข้าใกล้บ้านหลังนั้น
น้องนิ้ง ลูกสาวผม เป็นคนต่อมา น้องมาเล่าให้ผมกับแม่ฟังว่าฝันแปลกๆ ผมถามว่าฝันอะไร น้องนิ้งว่า ฝันเห็นแม่ (มาลัย)
ฝันยังไง น้องนิ้งเล่าความฝันให้ฟังว่า ในฝันน้องนิ้งกำลังเดินอยู่ข้างบ้านหลังใหญ่ ทำอะไรจำไม่ได้ ในฝันน้องนิ้งได้ยินเสียงเรียก
น้องนิ้ง น้องนิ้ง !!! เสียงแผ่วๆเหมือนได้ยินที่ข้างหู พอหันไปดู ก็เดินตามเสียงมาจนถึงบ้านหลังเล็ก น้องนิ้งก็เงยหน้ามองไปที่หน้าต่าง
แล้วเห็นว่า มาลัย ยืนเกาะขอบหน้าต่างบ้านอยู่บนนั้น ขอบตาแดงก่ำเหมือนคนร้องไห้ ส่งยิ้มให้น้องนิ้ง แต่ตัวสั่นๆแปลกๆ
น้องนิ้งว่า มาลัยพยายามจะพูดอะไรบางอย่างแต่เสียงแผ่วเบามาก จับใจความไม่ได้
ในฝันนั้นน้องนิ้ง ก็ตะโกนถามว่า แม่ แม่เป็นอะไร ทำไมไม่ลงจากบ้านมาหาน้องนิ้ง
มาลัยยิ้ม แต่ตาร้องไห้ แล้วก็ยืดตัวยาวเหยียดจากหน้าต่าง ลงมาหาน้องนิ้ง น้องนิ้งกลัวแล้วก็วิ่งหนี จนผวาตกใจตื่นขึ้นมา
ผมที่เลิกสนใจมาลัยไปนานแล้ว เกิดความเอะใจ เลยเข้าโปรแกรมเฟสบุ๊ค เข้าไปส่องดูเฟสบุ๊คของมาลัยอีกครั้ง
แต่เฟสบุ๊คของมาลัยไม่มีแล้ว ผมนึกขึ้นได้ว่า ผมเคยจดเบอร์โทรของเพื่อนที่ผมเคยตีซี้ที่อุบลเอาไว้ จึงลองไปค้นหาแล้วเสี่ยงโทรดู
ปรากฏว่าเขารับ ผมคุยกับเขาแล้วถามว่า จำผมได้ไหม เขาบอกจำได้ มีอะไรหรือหายไปนานแล้วถึงโทรมา ผมถามถึงมาลัย
ผมบอกน้องนิ้งคิดถึงเค้า ทำไมไม่มาดูลูกบ้าง เพื่อนคนนั้นก็บอกกับผมว่า มาลัยเสียชีวิตไปตั้งแต่สงกรานต์แล้ว พ่อแม่มาลัยเสียใจมาก
และพยายามให้คนโทรหาผม เพื่อส่งข่าว แต่เพราะผมเปลี่ยนเบอร์มือถือเพื่อตัดขาด จึงโทรไม่ติด ผมตกใจกับสิ่งที่รู้
ผมจึงมั่นใจแล้วว่า สิ่งที่กานดาภรรยาใหม่ผม น้าอ่อง แม่ผมเห็น และน้องนิ้งฝันเห็นนั้น คงจะเป็นวิญญาณของมาลัยแน่ๆ
ผมเอาเรื่องนี้ไปบอกพ่อแม่ รวมทั้งน้องนิ้ง น้องนิ้งร้องไห้ผมกอดปลอบลูก
>>>>>>ผมถามแม่กับพ่อว่าจะเอายังไงดี บ้านหลังนั้นมาลัยสิงสู่อยู่แน่ๆ เพราะเธอเคยไปอยู่ที่นั่น ข้าวของบางอย่างของเธอก็ยังอยู่
ญาติของผมคนหนึ่ง ไปเชิญพ่อปู่ฤาษีมาที่บ้านเพื่อไล่ผีมาลัยออกไป พ่อปู่มาถึง ท่านไม่ทำอะไรเลย นอกจากการไปยืนนิ่งๆหน้าบ้าน
แล้วก็กลับออกมาบอกพวกผมว่า >>>>ไม่ใช่ผี ท่านทำอะไรไม่ได้<<<<
ญาติๆผมก็บอก ไม่ใช่ผียังไงท่าน คนเจอกันหลายคน ท่านว่า >>>>ก็นั่นมันเปรต ไม่มีใครไล่เปรตได้หรอก<<<<
น้องนิ้งถามขึ้น>>>>เปรตมีจริงๆหรือคะพ่อปู่<<<<<
>>>>>เราทุกคนล้วนมีเปรตอยู่ในตัวนะหนู วิญญาณที่ทำอกุศลกรรมซ้ำไปซ้ำมาเกินเยียวยา แม้แต่จะลงไปให้ไฟในนรกชำระล้างบาป
เพื่อไปเกิดใหม่ ก็ยังไม่มีสิทธิ์ ตายลงก็อุบัติขึ้นในภพเปรต ชดใช้เวรกรรมที่ทำตอนเป็นคนไปอีกไม่รู้นานเท่าไหร่
สิ้นกรรมนั้นแล้วถึงจะได้มีสิทธิ์ ลงสู่นรกเพื่อให้ไฟนรกชำระล้างบาปถึงจะได้ไปเกิดใหม่ตามเวร
>>>>>ผมถามพ่อปู่ว่า ผมจะสามารถช่วยเหลือ บรรเทาเบาบางให้อดีตภรรยาได้หรือเปล่า<<<<<
ท่านตอบ >>>>ย่อมได้จากการทำบุญ และปฏิบัติธรรม ไฟเย็นจากการปฏิบัติธรรม ผลบุญพอจะทำให้เขาได้เย็นสบายกายบ้าง
ได้กินอิ่มบ้างเป็นครั้งคราวไป
>>>>>ผมยังไม่มีเวลาไปปฏิบัติธรรม เพราะยังติดภาระงานหลายอย่าง แต่ผมก็หมั่นไปตักบาตรทำบุญ ถวายสังฆทาน สร้างกุศลทุกอย่าง
เท่าที่จะทำได้ แล้วอุทิศบุญนั้นทั้งหมดเอ่ยชื่อมาลัย ผมไม่รู้หรอกว่าเธอได้รับมันหรือเปล่า แต่เสียงร้องไห้ดังแว่วมายามดึกๆจากบ้านหลังนั้น
ก็สร้างความอกสั่นขวัญแขวนให้คนในบ้านผมหลายครั้ง สลับกันไปแล้วแต่ว่าใครจะเจอในรูปแบบใด
ญาติพี่น้องผม มาจากต่างจังหวัด มาพักที่บ้าน พอเช้าก็มาบอกพ่อแม่ผมว่า เมื่อคืนเห็นใครไม่รู้ นั่งห้อยขาอยู่บนบ้านหลังเก่า
เห็นไกลๆเป็นเงาคน แต่ไม่กล้าเข้าไปใกล้ เพราะบรรยากาศมันวังเวง แล้วบ้านหลังนั้นก็เป็นที่เก็บอัฐิพ่อเฒ่าแม่เฒ่าด้วย
>>>>>โดยเฉพาะน้องนิ้งนั้น ฝันถี่ขึ้นในภาพเดิมๆ คือการเห็นแม่ของน้องยืนยิ้มให้อยู่ที่หน้าต่างบ้าน และพยายามจะพูดคุยด้วย
แต่บางครั้ง น้องนิ้งก็ผวาร้องไห้ ไม่กล้านอนคนเดียว ถึงจะเริ่มโตเป็นสาวแล้ว ผมก็ให้กานดา ไปนอนเป็นเพื่อนน้องนิ้งที่ห้อง
เพราะกานดาก็เกิดความระแวงในการน้องที่ห้องผมเหมือนกัน ภาพหลอนมันติดตา ผมไม่กลัว สามารถนอนคนเดียวได้
แล้วคืนหนึ่ง ผมก็ฝันเห็นมาลัย
>>>>ผมฝันว่าเธอมายืนเรียกผมที่ข้างบ้านหลังใหญ่ เรียกพี่บุญส่ง พี่บุญส่ง ในฝันนั้นผมก็เปิดหน้าต่างออกไป
ผมเห็นเธอยืนแหงนหน้ามองผม หน้าตาปกติดี ในฝันผมถามเธอว่า มาตะโกนเรียกทำไม ทำไมไม่ขึ้นมาคุยกันบนนี้
มาลัยบอกว่าผมโกรธเธอ เธอขึ้นไปได้หรือ
ผมบอก ขึ้นมาคุยเลย ขี้เกียจตะโกน
เท่านั้นเอง ขาของมาลัยก็ค่อยๆยืดขึ้นมายาวเหยียด หน้าตาเธอในฝันเปลี่ยนไปเป็นน่าเกลียดน่ากลัว
สภาพอัปลักษณ์เละเทะอย่างที่สุดจะบรรยาย
ในฝันนั้น ผมผวา และร้องลั่น เฮ้ยๆๆๆๆๆ เสียงแม่ผมเคาะประตูเรียกชื่อผม ปลุกผมจนตื่น
“บุญส่งเป็นอะไรลูก…ละเมอร้องเฮ้ยๆๆๆลั่นบ้านแล้ว”
ผมเด้งตัวลุกขึ้น หันมองรอบตัว ทุกอย่างปกติ จึงรู้ว่าฝันไป ผมตะโกนตอบแม่ไปว่า ไม่มีอะไรครับ ผมฝัน
ตอนเช้าผมเล่าให้ทุกๆคนฟัง
กลายเป็นว่า บ้านผมตอนนั้นอยู่กันไม่สุขสักคน แม้จะนิมนต์พระมาสวด มาทำบุญบ้านไปหลายครั้ง ทำบุญไปเท่าไหร่ก็ไม่สงบลง
มาลัยยังไปโผล่ในฝันคนนั้นคนนี้ ทั้งน้องนิ้ง แม่ ผม พ่อผม ส่วนคนอื่นๆ มักจะเห็นเพียงครั้งสองครั้งแล้วก็ไม่เห็นอีก
ผมคิดว่า หากผมยังฝันร้ายต่อไปแบบนี้เรื่อยๆ ผมคงจะอดนอนจนเสียสุขภาพแน่ๆ ผมได้ยินกิติศัพท์ของหมอปลา
ผมคิดจะไปเชิญหมอปลามาช่วย แต่ญาติผมกลัวว่า หมอปลาจะมาเผาบ้านทิ้ง เหมือนที่ทุบศาลพระภูมิในคลิป แถมหมอปลาก็อยู่ไกล
อีกอย่างถ้าตามที่พ่อปู่เคยบอกไว้ หมอปลาก็คงทำอะไรเปรตไม่ได้เหมือนกัน
>>>>>>ผมไปปรับทุกข์เรื่องนี้กับเหล่าคนงานแทงปาล์ม คนงานคนหนึ่งบอกผมว่า ลองไปปรึกษาพระอาจารย์ท่านหนึ่งที่สุราษฏ์ไหม
ท่านเป็นพระสายปฏิบัติ เป็นพระแท้สายป่า ไม่รับเงิน แล้วท่านก็ปฏิบัติกรรมฐานอยู่ในป่าเป็นประจำ ผมจึงลองไปพบท่าน
เป็นสำนักสงฆ์ที่ปลีกตัวเองอยู่ในป่าของแท้จริงๆ ทางเข้าก็เป็นป่าแล้ว
ผมไปถึงบริเวณนั้น เงียบ สงบ วังเวง มีกุฏิเล็กๆอยู่ไม่กี่หลัง เป็นสำนักสงฆ์ติดภูเขา
มีศาลาสำหรับทำพิธีสงฆ์ตั้งอยู่ และมีต้นไม้สูงลิ่ว ขึ้นอยู่เต็มบริเวณ ผมเจอคนนุ่งขาวห่มขาวหลายคนกำลังกวาดใบไม้
ผมขับรถเข้าไปจอด ถามถึงท่าน เขาบอกผม พระอาจารย์นั่งสมาธิอยู่ในถ้ำ ให้ผมรอไปก่อน ไม่มีใครกล้าไปขัดการเข้าสมาธิของพระ
ผมนั่งรอ จนพระอาจารย์ท่านออกจากสมาธิ มีคนไปบอก ท่านก็มาหาผมที่นั่งรอ
>>>>>ท่านค่อนข้างต่างจากที่ผมคิดไว้มากว่า ควรจะเป็นหลวงตาแก่ๆแบบในหนัง เพราะท่านร่างกายดูกำยำแข็งแรง
หน้าตาดูยังไม่แก่มากนัก เหมือนท่านจะรู้ ท่านมองผมแล้วท่านยิ้มให้
“ทำไมหรือ หน้าตาอาตมาดูไม่แก่อย่างที่คิดไว้ใช่มั้ย”
“ใช่ครับ”
แต่พอท่านบอกอายุ ท่านมีอายุมากกว่าผมหลายปีเลย ท่านบอกว่า นี่ล่ะ ผลจากการทำสมาธิ ฝึกจิตใจ พอจิตใจเราดี มันก็ส่งผลไปถึงกาย
ท่านบอกหน้าตาผมดูหมองๆ ซีดเซียว คงเจออะไรหนักๆมาใช่ไหม
ผมพนมมือเล่าทุกสิ่งที่เกิดให้ท่านฟัง ท่านฟังจบ ก็พูดออกมาเพียงว่า “กรรมหนอ…กรรม”
>>>>>ผมจึงฝากตัว ขออยู่ปฏิบัติธรรม ฝึกกรรมฐาน เจริญภาวนาอยู่ที่นั่น แรกๆมันก็ลำบากอยู่บ้าง จากการที่จิตไม่นิ่ง
คิดกังวลไปต่างๆนาๆ ทั้งบรรยากาศตอนกลางคืนที่นั่นมันยิ่งเสียกว่าวังเวงน่ากลัว
และอาการที่เกิดจากความปวดเมื่อยที่ถาโถมเข้าหา เพราะร่างกายผมไม่เคยทำอะไรแบบนี้มาก่อน
แต่ถึงจะอยู่ตรงนั้น ผมก็ยังฝันเห็นมาลัยอยู่อีก จนร้องโวยวายขึ้นกลางดึกให้คนตกใจเล่นเหมือนผมเป็นคนบ้า
พระอาจารย์ทราบว่าผมฝันเห็นมาลัยในสภาพผีเปรตเนืองๆ ท่านก็บอกให้ผมตั้งสติ
พระอาจารย์เรียกผมไปพบในวันหนึ่งตอนเลย2ทุ่มไปแล้ว ท่านบอกผมว่ามีผีเปรตตนหนึ่งมายืนร้องไห้อยู่ข้างสำนักสงฆ์ แต่เข้ามาไม่ได้
ท่านถามผมว่า อยากคุยกับเขาไหม ผมถามท่านว่า ผมคุยได้หรือครับ ท่านบอกคุยได้ แต่ต้องนั่งสมาธิจนจิตนิ่งดีแล้ว เธอถึงจะคุยได้
นั่นทำให้ผมตั้งใจจริงจังในการฝึกจิต ผมใช้เวลาในการฝึกนั่ง จนไม่รู้สึกเมื่อยเคล็ด และจิตใจไม่วอกแวกอีกต่อไป ภายในถ้ำกับพระอาจารย์
ผมไม่มีโอกาสติดต่อกับโลกภายนอก เพราะพระอาจารย์ท่านริบเครื่องมือสื่อสารคนที่ไปที่นั่นทุกคน
เรื่องอาหารนั้น ก็กินกันแค่วันละ2มื้อ มือเย็นดื่มได้แค่น้ำปาณะ ข้าวของดำรงชีพนั้น ทุกคนล้วนนำเข้าไปเองตอนเข้าไป
เพราะทางสำนักสงฆ์ไม่มีให้ นอกจากที่พักและหมอนมุ้ง และจะถูกเก็บไว้กับพระอาจารย์ก่อนนำมาปันกันกินเมื่อถึงเวลา
พระอาจารย์ช่วยแนะผมหลายอย่าง ให้คิดว่าความกลัวเป็นเพียงอารมณ์หนึ่ง มันไม่มีอยู่จริง เป็นแค่สิ่งที่เราคิดเองว่ากลัว
ผมฝึกจิตซ้ำไปซ้ำมาในถ้ำ จนจิตนิ่งดี ไม่เกิดความกลัวต่อสิ่งรอบตัว เพียงคิดว่าทุกสิ่งคือธรรมชาติ ความมืด ความสว่าง
ความเย็น ความเงียบ ล้วนคือธรรมชาติ เรากลัวสิ่งแวดล้อมตอนกลางคืน เพราะเราไม่เข้าใจในความมืด เรากลัวผีเพราะเราไม่เข้าใจผี
>>>>>>ค่ำคืนหนึ่ง พระอาจารย์มาตามผม ผมเดินตามท่านไป ท่านบอกผมว่า ผีเปรตตนนั้น ยังรออยู่ข้างสำนักสงฆ์ไปยอมจากไปไหน
พระอาจารย์ พยายามจะคุย แต่ก็คุยกันไม่รู้เรื่อง เพราะไม่ได้มีกรรมร่วมกันมา พอเห็นว่าผมฝึกจิตจนถึงที่แล้ว จึงจะให้ผมไปคุย
พระอาจารย์บอกผมว่า ให้หลับตาทำสมาธิ ของแบบนี้คุยกับเค้าทางกายหยาบไม่ได้ ต้องใช้จิต เพราะจิตไปได้ทุกที่ จิตเร็วกว่าทุกสิ่ง
ท่านพาผมมาถึงโคนต้นไม้ใหญ่ ชายเขตแดนสำนักสงฆ์ เลยออกไปนั้น เป็นป่าโดยสมบูรณ์ มองฝ่าไป มีแต่ความมืด และเงาของต้นไม้
เถาวัลย์ลางๆ พระอาจารย์จุดเทียนปักลงพิ้นดิน บอกให้ผมกำหนดจิตนั่งสมาธิต่อหน้าแสงเทียน ท่านบอกท่าจะอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลนี้
ขอให้ผมตั้งจิตให้นิ่งที่สุด แล้วอย่าออกจากสมาธิกลางคัน อย่าหันหน้าลืมตา มองอะไรต่อให้ได้ยินเสียงแปลกๆแค่ไหน
>>>>>ผมนั่งลง นั่งขัดสมาธิ กำหนดลมหายใจเข้าออกไปตามลำดับ จิตนิ่งจนแยกเสียงที่ปนเปยามค่ำได้ว่านั่นคือเสียงของอะไร
จนจิตของผมจับเสียงใบไม้ดัง กรอบบบ แกรบบบ ดังใกล้เข้ามาได้ แล้วมาหยุดอยู่ตรงหน้าผม ผมไม่ลืมตา ยังคงเจริญภาวนาต่อไป
ใจไม่วอกแวก ไม่กลัว อากาศตอนนั้นเย็นจนขนลุก เสียงนึงผุดดังเข้ามาในหัวว่า
“พี่”
เสียงนั้นผมคุ้นเคยดี ผมตอบกลับไปทางจิตแล้วสนทนากัน
“มาลัยหรอ”
“ฉันเอง”
“มีอะไรหรือ”
“พี่ยังโกรธฉันไหม”
“หายโกรธแล้ว”
“ฉันดีใจนะที่ได้คุยกันอีก”
“แล้วทำไมต้องหลอกคนอื่นให้กลัว”
“ฉันไม่ได้หลอก แต่ฉันพยายามจะคุย พยายามขอให้ช่วย แต่ทำไม่ได้ตามใจคิด”
“แล้วทำไมตอนนี้คุยกับพี่ได้”
“พี่ฝึกจิตจนนิ่งแล้ว และเรา ก็มีกรรมร่วมกันฉันถึงคุยได้”
“คนอื่นล่ะ พระอาจารย์ล่ะ ท่านเก่งกว่าพี่อีก ทำไมคุยไม่ได้”
“ท่านไม่มีกรรมร่วมกันกับฉัน”
“เธอเป็นอะไรตอนนี้”
“ฉันไม่รู้ แต่ฉันทรมานมาก เห็นอาหารวางอยู่รอบตัว ก็กินไม่ได้ หยิบไปก็กลายเป็นดินหมด”
“เธอตายแล้วรู้ตัวไหม”
“ตอนแรก ฉันไม่รู้หรอก ฉันแค่รู้สึกเจ็บวูบเดียวตอนรถชน แล้วฉันก็ลุกขึ้นยืนได้ แต่สภาพร่างกายฉันเน่าเฟะหมด พิกลพิการบางวัน
เดินไปไหนเขาก็ไล่ เจอคนทักเขา ก็ไม่หัน พอนึกถึงพี่กับลูก ฉันก็มาโผล่ที่บ้านหลังเล็ก เลยอยู่ที่นั่น ฉันอยากจะบอกรักลูกนะ ขออย่าให้เค้าเป็นอย่างฉัน มันทรมานเหลือเกิน”
“เธอจะให้พี่ทำอะไร”
……………………… ………………………… ………………..มาลัย มาลัย เธอเงียบไป ผมเรียกย้ำๆทางจิต แต่ไม่มีเสียงอีก
>>>>หมดเวลาแล้ว <<<<< เสียงพระอาจารย์ดังขึ้นทำลายความเงียบ
ผมค่อยๆออกจากสมาธิ ลืมตาขึ้น มองออกไปเห็นแต่ความมืด พระอาจารย์ยืนอยู่ใกล้ๆ
ผมถามพระอาจารย์ ว่าผมได้คุยกับเธอทางจิตนั้นเป็นเสียงเธอจริงๆหรือ ท่านบอกว่าใช่
เมื่อกี้สีกาคนนั้น มายืนตรงหน้าผม สภาพเปรตวิสัย หากคนทั่วไปเห็นก็คงวิ่ง เธอแค่อยากมาบอกมาคุยเท่านั้น นั่นคือสิ่งที่คาใจ
จริงๆแล้ว ลำพังผมนั้น ไม่สามารถคุยกับมาลัยได้หรอก แต่เพราะมีพระอาจารย์ทำสมาธิ ใช้กระแสจิตอาศัยอำนาจบารมีของพระพุทธองค์
หนุนเปิดทางให้คุยกันได้เท่านั้น และก็มีเวลาจำกัด เพราะเรื่องนี้เป็นเรื่องฝืนธรรมชาติ ที่ยังได้พบได้เห็นกันได้ เพราะมีกรรมร่วมกันมา
กรรมจึงเหนี่ยวนำเหมือนใยแมงมุมให้ได้คุยกัน แต่หลังจากนี้ ก็ไม่แน่ว่าผมจะมีโอกาสนั้นอีกหรือเปล่า
ผมอยู่ที่นั่นจนพระอาจารย์บอกว่า ให้ผมกลับสู่โลกของผมเถอะ ยังมีกรรมที่ผมต้องออกไปชดใช้อีก ผมถามท่านว่าสิ่งที่ผมเจอนี้
ผมจะสามารถทำอะไรได้บ้าง แก้ไขอะไรให้มาลัยได้หรือเปล่า ท่านบอก กรรมใครล้วนกรรมมัน กรรมตามทัน คนนั้นต้องใช้กรรม
สิ่งที่ผมสามารถทำได้ คือการออกไปบอกคนข้างนอกที่กำลังมัวเมา ลุ่มหลง ถูกความอยากชักนำ
ผมพบอะไรมา ให้บอกไปอย่างนั้น ท่านบอกแม้มีคนเชื่อแล้วเกรงกลัวบาปเพียง1 ก็ถือว่าเกิดกุศล กุศลที่ได้จากการบอกทางให้เขาไม่เข้าใกล้ภพภูมิของเปรตและอบายภูมิ ว่าเป็นสิ่งที่มีจริง ใช่เรื่องลวงหลอกในพุทธศานาให้คนยุคใหม่หัวเราะ
เพราะ จริงๆแล้ว เปรต ไม่ใช่ของศาสนาใด เพียงแต่ศาสนาพุทธมีวิธีการฝึกจิตจนรับรู้ได้ถึงภพภูมินี้แล้วนำมาบอกให้รู้เท่านั้น
การที่มาลัย ภรรยาเก่าของผม ต้องไปเกิดเป็นเปรตนี้ คงจะเกิดมาจาก ตอนเป็นๆ เธอผิดประเวณีและมั่วผู้ชายบ่อยครั้งในช่วงก่อนจะเสียชีวิตไป กรรมนั้นจึงบันดาลให้เธออุบัติไปเกิดในภพเปรตอย่างทันทีทันใด ต้องทนทุกข์ทรมานในวิสัยเปรตไปอีกไม่รู้นานเท่าไหร่
แล้วก็ไม่มีใครช่วยเธอได้สักคน
ผมจึงขอจบการเล่าเรื่องนี้ไว้แต่เพียงเท่านี้ครับ ขอบคุณที่อ่านอย่างยาวนาน จะมองว่ามันไม่จริงหรืออย่างไร ตามแต่ใจและกุศลของท่านเลย
ผมเพียงต้องการทำตามที่พระอาจารย์แนะนำผมมาเพียงเท่านั้น สวัสดีครับ