เรื่องผีเรื่องนี้เกิดขึ้นบนเกาะท่องเที่ยวชื่อดังอย่าง “เกาะสมุย” ในจ.สุราษฎร์ธานี เมื่อเจ้าของเรื่องเล่าต้องไปทำงานที่นั่นกว่า 2 เดือน จึงจำเป็นต้องหาบ้านเช่าชั่วคราว แต่บังเอิญว่าบ้านหลังนี้นั้นมีอะหรไม่ชอบมาพากลอยู่ และสิ่งที่เขาเจอมาก็ทำให้เขากับน้องชายต้องรีบย้ายหนีหลังอยู่ไปได้เพยงแค่ 4 วัน
เรื่องผีบนเกาะสมุย ย้อนกลับไป 9 ปีก่อน
เรื่องนี้เป็นประสบการณ์ที่ผมเองนั้นประสบพบเจอมาเมื่อครั้งที่ไปเกาะสมุยเพื่อทำงาน ย้อนกลับไปกว่า 9 ปีก่อน ออกตัวก่อนว่าปกติแล้วผมไม่ใช่คนที่เชื่อหรืองมงายในเรื่องผีๆสางๆ แต่เหตุการณ์สุดสพรึงตอนปลายปี 2553 ครั้งนั้น มันทำให้ผมยังคงหาคำอธิบายมาตอบไม่ได้จนทุกวันนี้ ตอนนั้นผมได้รับเหมางานในการไปติดตั้งเซ็ตระบบเครือข่ายเซิร์ฟเวอร์ขนาดใหญ่ โดยที่มีน้องชายผมเป็นผู้ร่วมงานไปด้วย นอกจากนี้ยังมีทีมงานจากบริษัทผู้ว่าจ้าง 3 – 4 คนเดินทางไปที่เกาะสมุยด้วย อย่างไรก็ตามเนื่องจากงานนี้เป็นโปรเจกต์ค่อนข้างใหญ่ ตามแผนแล้วคาดว่าต้องใช้เวลาราว 1 หรือ 2 เดือน ทางบริษัทผู้ว่าจ้างจึงได้จัดหาบ้านเช่าไว้ให้พักอาศัยรวมถึงเป็นที่เก็บอุปกรณ์ต่างในการทำงาน
พวกผมเดินทางมาถึงบ้านพักกันช่วงบ่ายๆแล้ว บ้านที่ว่ามีลักษณะเป็นคล้ายๆกับห้องแถวแบบชั้นครึ่ง มีห้องหับเรียงกันอยู่ราว 6 ห้อง ผมรู้สึกแปลกๆตั้งแต่เข้าไปครั้งแรก อาจจะด้วยที่ว่าห้องค่อนข้างจะคับแคบ อีกทั้งดูเหมือนไม่ได้มีคนอยู่มาพักใหญ่ ทำให้ได้กลิ่นอับชื้นภายในห้อง หลังเปิดประตูหน้าต่างรับลมก็เหมือนจะดูดีขึ้นหน่อย แต่สิ่งหนึ่งที่ชวนให้อึดอัดคือ แม้ว่าแดดยังแรงสว่างจ้า แต่บริเวณห้องกลับไม่ค่อยมีแสงเข้า ทำให้ดูมืดมนอยู่พิกล อย่างไรก็ตามผมกับพี่ๆทีมงานนั่งพักคุยกันอยู่ครู่หนึ่ง ผมถึงได้เริ่มสำรวจห้องที่ผมจะต้องอยู่ร่วมสองเดือนอย่างจริงจัง
ขอบรรยายลักษณะบ้านเอาไว้หน่อย เผื่อมีใครได้แวะเวียนไปอาจจะได้ลองเช่าอยู่สักคืนสองคืน เพิ่มความตื่นเต้นให้ทริปของท่าน จากหน้าประตูคุณสามารถมองเห็นชั้นบนของบ้านได้ทันที ด้านบนมีบานเลื่อนที่สามารถเปิดและมองลงมาได้เช่นกัน โดยที่ทางขึ้นระหว่างชั้น 1 และ 2 จะมีหิ้งพระเก่าปอนหันออกไปทางประตูหน้าบ้าน บนนั้นมีพวงมาลัยดอกไม้ที่ยังไม่เหี่ยวแห้งมากนัก เป็นร่องรอยว่าน่าจะมีคนนำมาไหว้บูชาไม่นาน ห้องโถงที่นี่จะไม่กว้างนัก ขนาดประมาณ 4 ม. เมื่อผ่านโถงไปจะพบกับครัวเล็กๆ และประตูหลังบ้าน ด้านนอกมีรั้วรอบขอบชิด
ด้านข้างหลังบ้านมีห้องเก็บของขนาดเล็กตั้งอยู่ และเนื่องจากมันไม่ได้ถูกล็อคไว้ ผมจึงลองเปิดดูก็เจอเข้ากับกองผ้าห่มหมอนมุ้ง และหนังสือเก่าๆ ที่เปียกแฉะชื้นอยู่ภายใน ทันทีทีเปิดประตูก็มีกลิ่นเหม็นอับโชยออกมา เลยต้องรีบปิดทิ้งไว้อย่างนั้น จากนั้นผมผมขึ้นไปสำรวจบนชั้น 2 ด้านบนเป็นห้องขนาดเล็กไม่มีอะไรน่าสนใจ จนกระทั่งผมสังเกตเห็นพวงมาลัยดอกไม้เหมือนกับที่หิ้งพระด้านล่าง แขวนไว้บริเวณใต้หน้าต่าง ตอนนั้นผมแค่รู้สึกแปลกใจนิดหน่อยว่าทำไมถึงมีพวงมาลัยอยู่หลายที่ ก่อนที่จะเปิดหน้าต่างออกไปรับลม
อย่างไรก็ตาม คืนแรก…ดูเหมือนจะผ่านไปด้วยดี อาจจะด้วยความเพลียจากการเดินทาง ซ้ำพวกเรายังนั่งสังสรรค์กันจนดึกดื่น ทุกคนจึงแทบเรียกได้ว่าหลับสนิทตลอดคืน แต่นั่นก็เป็นคืนสุดท้ายที่ผมกับน้องจะมีเพื่อนนอนด้วย เพราะวันถัดมาหลังจากที่ทีมงานได้หาลือและบรี๊ฟงานกันเสร็จเรียบร้อยก็เดินทางกลับทันที
คืนที่ 2… ตอนนี้เหลือแค่ผมกับน้องชายที่ต้องอยู่ในบ้านหลังนี้อีกกว่า 2 เดือน คืนนี้ผมยังคงมีอาการแฮงค์ค้างจากเมื่อคืนอยู่ เนื่องจากนอนดึกและดื่มหนัก เลยขอตัวขึ้นไปนอนก่อน ก็ยังไม่มีอะไร จนกระทั่งคืนที่สาม…คืนนั้นน้องชายผมซื้อเครื่องดื่มมอลท์สกัดมาเสียหลายขวด แต่เนื่องจากผมติดธุระคุยโทรศัพท์อยู่ มาเจออีกทีก็พบว่ามันซัดซะเกลี้ยงแล้วก่อนจะขอตัวขึ้นไปนอนทันที ส่วนผมยังไม่นอนแต่อ่านหนังสือเล่นอยู่ข้างบนเช่นกัน
ประมาณตี 2 คืนนั้นเอง จู่ๆน้องชายผมก็สะดุ้งตื่น ลุกพรวดขึ้นมาจากฟูกนอน ผมเลยทักถามไปว่า..เป็นอะไรไป? แต่ไม่มีคำตอบใดๆกลับมา กระทั่งมันเดินออกไปจากห้อง ผมก็ถามขึ้นอีกว่าจะไปไหน? คราวนี้น้องผมตอบกลับมาว่า “จะไปห้องน้ำ” แต่หายไปพักใหญ่ ผมกลับไม่ได้ยินเสียงราดน้ำหรือเสียงจากก๊อกเลย ผมจึงชะโงกมองลงมาจากด้านบน ก็เห็นน้องผมนั่งอยู่ในห้องโถงชั้นล่าง ผมลองเรียกอยู่หลายครั้ง แต่กลับไม่มีคำตอบใดๆกลับมา จนผ่านไปสักพักมันก็เดินกลับขึ้นมาข้างบน โดยไม่พูดจาใดๆก่อนที่จะล้มตัวลงนอนเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ตอนนั้นผมไม่ได้คิดอะไร เข้าใจไปว่าน้องผมมันคงเดินละเมอกระมัง…
วันรุ่งขึ้น ผมเลยมีเรื่องไปแซวน้องมันว่า “เมื่อคืนฟุ้งซ่านเรื่องอะไร ถึงขนาดเดินละเมอลงไปนั่งตากยุงอยู่ด้านล่าง ดึกๆดื่นๆ” แต่คำตอบของมันทำเอาผมเริ่มรู้สึกไม่ค่อยสะบายใจ เพราะมันบอกกับผมว่า… จำอะไรไม่ได้เลย ไม่รู้สึกตัวเลย
กระทั่งคืนที่ 4… คืนนี้ก็เช่นเคย น้องผมยังคงซื้อเครื่องดื่มมานั่งกินคนเดียว กินเสร็จก็เข้านอนทันที และเนื่องจากผมเป็นคนนอนดึก จึงนั่งเล่นเกมไปตามเรื่องตามราวจนดึกดื่น อย่างไรก็ตาม ตอนนั้นผมไม่รู้ว่าดึกแค่ไหน แต่เลยเที่ยงคืนไปแล้วแน่ๆ จู่ๆก็ได้ยินเสียง “ซ่าาา~ซ่าาา~” คล้ายกับเสียงเวลาที่เปิดโทรทัศน์แล้วไม่มีสัญญาณภาพ ดังขึ้นมาจากด้านล่าง แต่มาคิดๆดูแล้ว บ้านเช่าหลังนี้ก็ไม่มีโทรทัศน์นี่นา บางทีคงเป็นเสียงจากข้างบ้านกระมัง
อย่างไรก็ตาม… เสียงที่ว่ามันเริ่มทำให้ผมกระวนกระวายใจ พอที่จะลุกขึ้นมาเดินหาต้นตอของเสียง เพราะเวลาที่นั่งอยู่เฉยๆดูเหมือนเสียงมันจะค่อยๆดังรบกวนขึ้นเรื่อยๆ แต่ปรากฏว่าพอผมพยายามเงี่ยฟังดู เสียงที่ว่ามันเงียบไป พอมองออกไปด้านนอกก็พบว่าไม่มีบ้านหลังใดเลยที่ยังเปิดไฟอยู่ หรือแสดงให้เห็นว่ายังคงมีใครนั่งดูทีวีอยู่ จู่ๆเสียง “ซ่าาา…” ก็ดังขึ้นมาอีก คราวนี้ผมค่อนข้างมั่นใจแล้วว่ามันดังมาจากในบ้านของผม จากห้องโถงด้านล่าง
พอออกมาจากห้อง เสียงชัดเจนขึ้นจนผมบอกได้ว่า เสียง “ซ่าาา..ซ่า…” ที่ได้ยินไม่ใช่เสียงจากทีวี แต่มันเป็นเสียงกระซิบกระซาบของคนคุยกัน แม้ผมจะบอกไม่ได้ว่าเป็นเสียงภาาาอะไร แต่มันไม่ใช่ภาษาไทยที่จะสามารถเข้าใจความหมายทันทีได้ ผมพยายามทำใจดีสู้เสือ ชะโงกหน้าออกไปมองจากด้านบน ก็ไม่พบอะไร แถมเสียงกระซิบกระซาบยังเงียบดับลงไปทันทีอีกด้วย ผมเลยลงไปด้านล่างแล้วไล่เปิดไฟแต่ละจุดที่เดินผ่าน แต่ก็ไม่พบอะไร แถมไม่ได้ยินเสียงที่ว่าด้วย เปิดประตูหน้าบ้านไปดูก็ไม่เจอแสงไฟจากห้องไหนๆ ผมจึงปิดประตูกลับคืนก่อนที่จะเปิดไฟในโถงทิ้งไว้แล้วขึ้นไปนอน
แต่หลังจากผมขึ้นมานอนได้สักพัก เสียงเดิมก็มาอีก… กระซิบกระซาบดังระงมมาจากข้างล่าง และชัดกว่าทุกครั้ง ถึงจุดนี้จากการที่ผมได้ลงไปสำรวจข้างล่างมาทุกซอกทุกมุม ผมเชื่อว่าน่าจะ “เจอ” เข้าให้แล้วล่ะ เลยตัดสินใจซุกตัวอยู่ใต้ผ้าห่มข่มตานอนให้หลับ แต่ไม่นานจากนั้นจู่ๆไฟก็ดับพรึ่บ! ห้องที่เคยเปิดไฟทิ้งไว้ก็จมอยู่ใต้ความมืดโดยพลัน เสียงกระซิบกระซาบมันก็ดังขึ้นเรื่อยๆ ไม่สิ…บางทีมันอาจจะดังเท่าเดิม แต่เสียงมันอาจใกล้เข้ามาเรื่อยๆก็ได้ ผมนึกถึงบทสวดที่อยู่ในหัวออกมาพึมพำบทแล้วบทเล่า จะถูกจะผิดมากน้อยก็ไม่ทราบได้
น่าแปลกใจอยู่เหมือนกัน ที่ปกติผมแทบไม่ได้สวดมนต์เลย แต่ในเวลาสำคัญเช่นนี้ กลับมีบทสวดไหลออกมาเข้าปากบทแล้วบทเล่า คงเข้าทำนองที่เขาว่าในวินาทีสุดท้ายของชีวิต คนเราจะมองเห็นภาพในอดีต เพราะสมองพยายามข้ามขีดจำกัดแล้ว “ค้นหา” เอาความทรงจำเก่าๆออกมาเพื่อใช้ในการหาทางรอดชีวิต ดูเหมือนเสียงที่ว่าจะหยุดอยู่เพียงบริเวณหน้าประตู หลังจากนั้นผมก็นึกถึงแม่ที่เสียไปแล้ว อธิษฐานขอให้ช่วยลูกด้วย กระทั่งก็อยู่รอดมาจนฟ้าสาง เสียงก็หายไปตอนที่ผมไม่ทันได้สังเกต ดูนาฬิกาก็พบว่าตี 5 กว่าแล้ว
เช้าวันนั้นเอง ระหว่างที่ทานข้าวกันกับทางทีมงานที่มารับไป ผมก็เปิดหัวข้อสนทนาในเรื่องนี้ขึ้นกลางวงอาหารอย่างไม่อาย กระมั่งน้องผมมันก็สมทบขึ้นมาว่า “ผมเจอตั้งแต่คืนที่ 2 ที่พี่ขึ้นไปนอนก่อนแล้ว” มันเล่าว่าตอนที่มันตามขึ้นไปนอน ระหว่างที่ครึ่งหลับครึ่งตื่นก็รู้สึกว่ามีใครบางคนมานั่งทับ แบบที่เขาเรียกว่า “ผีอำ” นั่นแหละ กระดิกตัวไม่ได้เลย ทำได้แค่หันหน้ามาทางผม แต่ไม่ส่าจะเรียกยังไง…ผมก็ไม่ได้ยิน นั่นเลยเป็นสาเหตุให้หลังจากนั้น น้องผมเลยรีบดื่มให้เมาเพื่อที่จะได้นอนหลับไวๆ
คราวนี้หนึ่งในทีมงานที่เป็นหัวหน้าก็เล่าให้ฟังว่า ความจริงเขาก็เคยเจอมาก่อนแล้วทั้งนั้น เมื่อก่อนแกเคยไปนอนกลางวันที่บ้านหลังนั้น ก็รู้สึกว่ามีใครบางคนมาเดินวนไปวนมารอบๆตัว เลยไม่กล้าไปนอนอีกเลย จากนั้นก็มีคนงานเคยมานอนไม่นานมานี้ เจอเงาคนเดินเพ่นพ่านไปมาบนทางเดินด้านบน เลยต้องเอาพวงมาลัยมาขอขมาลาโทษ ก่อนที่จะย้ายออกไป ซึ่งพวงมาลัยที่เหลือไว้ให้ดูต่างหน้าก็มีที่มา อย่างนี้นี่เอง
มาถึงจุดนี้หัวหน้าก็เห็นใจแบะถามว่า จะเอายังดี จะย้ายไหม จะได้หาที่อยู่ใหม่ให้ ผมกับน้องก็ตอบเป็นเสียงประสานโดยพร้อมเพรียงทันทีว่า “ไม่ไหวสุดๆเลยครับ !!” อย่างไรก็ตามเย็นวันนั้นผมกับน้องยังคงต้องนอนที่นั่นอีกคืน เลยพากันไปซื้อดอกไม้ธูปเทียนมาจุดไหว้เจ้าที่เจ้าทาง เจ้ากรรมนายเวร ขอขมาลาโทษที่เข้ามาโดยไม่บอกกล่าวกันไป ทำให้คืนนั้นก็ผ่านมาได้แบบเรียบร้อย กระทั่งได้ย้ายไปบ้านหลังใหม่ในวันถัดมา…ซึ่งไม่รุ้ว่าโชคดีหรือโชคร้าย ที่ย้ายคราวนี้ก็ไม่พ้นต้องเจอกับสิ่งน่ากลัวอีก แม้คราวนี้ไม่ใช่ผีแต่มันคือ “ตุ๊กแกไซส์ยักษ์” สีสันฉูดฉาดสลับลายพร้อยไปทั้งตัว จนผมอดตั้งชื่อให้มันไม่ได้ว่า “น้องสลิ่ม” เรียกว่ามาสมุยคราวนี้ หนีผีปะตุ๊กแกก็ไม่ผิดนัก! และนี่ก็คือเรื่องราวทั้งหมด
ขอบคุณที่มา : postjung แชร์ประสบการณ์หลอนบ้านเช่เกาะสมุย
อ่านเรื่องเล่า เรื่องผีพันทิป เรื่องอื่นๆ >> คลิก
กลับสู่หน้าแรก สยองสแควร์