“Some place never let you go” นี่คือคำโปรยบนโปสเตอร์ของหนังเรื่อง Shutter Island โดยเป็นการบอกใบ้ว่า สถานที่ในหนังเรื่องนี้…หากคุณได้เข้าไปแล้ว จะไม่มีวันได้กลับออกมาอีก แต่ยังมีอีก quote ที่มีชื่อเสียงอันหนึ่งที่เข้ากับสถานการณ์แท้จริงสำหรับหนังเรื่องนี้อย่าง “Belive none of what you hear and half of what you see” ของเบนจามิน แฟรงคลิน รัฐบุรุษและนักประดิษฐ์คนสำคัญของอเมริกา “อย่าเชื่อในอะไรก็ตามที่คุณได้ฟัง และให้เชื่อเพียงครึ่งเดียวในสิ่งที่คุณได้เห็น” นี่คือผลงานระดับมาสเตอร์พีซชิ้นหนึ่งของผู้กำกับ “มาร์ติน สกอร์เซซี่” ผู้กำกับระดับปรมาจารย์ที่พูดถึงเรื่องราวอันชวนหัว เมื่อคนดีๆสามารถกลายเป็นบ้าได้ เพียงถูกปั่นหัวด้วยคำลวง เรื่องโกหกหากพูดเกินสามครั้ง…มันจะกลายเป็นเรื่องจริง แล้วถ้าหากมีคนพูดว่า “คุณเป็นผู้ป่วยที่มีปัญหาทางจิต” ครบสามคน คุณอาจะค่อยๆเป็นบ้าไปจริงๆ และนี่ก็คือ Shutter Island!
“เกาะนรกซ่อนทมิฬ” Shutter Island ไซโคทริลเลอร์จากปรมาจารย์ “มาร์ติน สกอร์เซซี”
ภาพยนตร์เรื่องนี้ถูกดัดแปลงมาจากวรรณกรรมเบสท์เซลเลอร์ของ เดนนิส เลอเฮน (Dennis Lehane) ซึ่งเป็นเจ้าของนวนิยายระดับขึ้นหิ้งอีกหลายเล่ม ซึ่งล้วนเคยถูกนำมาสร้างเป็นภาพยนตร์มาแล้วหลายต่อหลายเรื่อง อาทิ Mystic River ปมเดือดฝังแม่น้ำ หนังที่ว่าด้วยคดีอุกฉกรรจ์ในเมืองเล็กๆแห่งหนึ่ง ที่ไม่อาจดมมือคนร้ายได้ หรือ Gone baby Gone สืบลับค้นปมอันตราย ที่ว่าด้วยเรื่องของนักสืบเอกชนที่รับงานตามหาเด็กหาย จนนำไปสู่บทสรุปที่กชืนไม่เข้าคายไม่ออก ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นหนังระดับยอดเยี่ยมชิงรางวัล อีกทั้งยังมีจุดหักมุมท้ายเรื่องที่ชวนอึ้งสุดๆ
Shutter Island เล่าเรื่องของนายตำรวจศาล “เท็ดดี้ แดเนี่ยล” (ลีโอนาโด ดิคาปริโอ) กับคู่หูร่วมงาน “ชัค” (มาร์ค รัฟฟาโล) ที่เดินทางมายังเกาะลึกลับที่เป็นสถานบำบัดและคุมขังนักโทษที่มีปัญหาทางจิตรุนแรง เพื่อสืบคดีบางอย่างเกี่ยวกับนักโทษปริศนาที่หายตัวไปคนหนึ่ง ตามรายงานคือนักโทษบนเกาะที่ควรมีเพียง 66 คน กลับมีร่องรอยของ “นักโทษคนที่ 67” เพิ่มเข้ามาอย่างเป็นปริศนา
ส ป อ ย ล์ ห นั ก ม า ก ก ก ก . . . S H U T T E R I S L A N D
“ใครคือ นักโทษคนที่ 67?”
นี่คือประเด็นหลักของหนังเลยก็ว่าได้ หนังเริ่มจากการตามหานักโทษ(คนไข้?)คนที่ 67 และก็จบด้วยเรื่องนักโทษคนที่ 67 ตัวหนังจะสร้างบรรยากาศความไม่ชอบมาพากลจากพฤติกรรมแปลกๆทั้งจากคนไข้ หมอ ผู้คุม หรือแม้กระทั่งตัวพระเอกกับคู่หู ทำให้เกิดความสับสนสับขาหลอกขณะดูว่า…อะไรจริง อะไรปลอม ใครเชื่อได้ ใครเชื่อไม่ได้? จนกระทั่งมาถึงไคลแม็กซ์สุดท้ายที่หักมุมได้รุนแรง แต่เมื่อย้อนกลับไปดูในฉากต่างก็พบว่า เหตุการณ์มันก็ชวนให้คิดและคล้อยตามได้กับข้อสรุปที่เกิดขึ้น
บทสรุปของหนังในช่วงท้ายจะแยกออกเป็นสองทาง (สปอ์หนักมาก) ซึ่งจะแตกต่างกันออกไปอย่างชนิดที่ว่า “หนังคนละม้วน” เลยทีเดียว แบ่งออกเป็นสองทางให้คนดูเลือกที่จะเชื่อได้ดังนี้
1. เท็ดดี้ แดเนี่ยล คือ คนไข้คนที่ 67
2. เท็ดดี้ แดเนี่ยล ถูกปั่นหัว และทำเชื่อว่าตัวเองเป็นบ้า
เท็ดดี แดเนียล อดีตทหารผ่านศึกที่เคยรบในสงครามโลก เพื่อช่วยเชลยในเยอรมัน ที่มายังเกาะชัตเตอร์กับ ชัค คู่หูร่วมงานในฐานะตำรวจศาล เพื่อตามสืบเรื่องของ “เรเชล โซแรนโด” ผู้ป่วยทางจิตซึ่งมีรายงานว่าหายตัวไป โดยเรเชลเป็นผู้ต้องหาในคดีจับลูกสามคนกดน้ำจนเสียชีวิตจากอาการวิกลจริต
หมอคาวลีย์ (เบน คิงส์ลีย์) ผู้ซึ่งเป็นหัวหน้าดูแลและควบคุมบนเกาะชัตเตอร์ ได้พาเท็ดดีไปดูห้องขังที่ว่างเปล่า มันถูกล็อคอย่างแน่นหนาจากด้านนอก แต่เรเชลกลับหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย โดยที่เธอทิ้งรองเท้าของตัวเองเอาไว้ นั่นแสดงว่าเธอยังไม่ได้หนีไปไหนไกล นอกจากนี้เท็ดดี้ยังพบเบาะแสสำคัญ เป็นเศษกระดาษที่เขียนไว้ด้วยลายมือว่า… “ใครคือรายที่ 67?”
เท็ดดีกับชัคคู่หูออกสำรวจไปรอบๆเกาะ เขาเห็นถ้ำหินอยู่ใต้หน้าผา และประภาคารที่อยู่ไกลออกไป แต่ผู้ดูแลไม่ได้ให้ข้อมูลอะไรที่เป็นประโยชน์และสร้างความเคลือบแคลงให้กับเขา เท็ดดียังได้สอบปากคำคนที่เกี่ยวข้อง และได้ข้อมูลมาว่า “หมอชีแฮน” ซึ่งถูกตั้งให้เป็นหมอประจำตัวของเรเชลก็ได้หายตัวไปด้วย โดยที่แจ้งว่าลาพักและออกจากเกาะไปในเช้าวันถัดมา
คืนนั้นเท็ดดีนอนบนเกาะชัตเตอร์ และฝันถึงโดโลเรส ภรรยาที่จากไปจากเหตุการณ์ไฟไหม้บ้าน โดยที่เธอสบอกกับเขาในฝันว่า…เรเชลยังอยู่บนเกาะชัตเตอร์ และคนชื่อ “แอนดรูว์ แลดิส” ตัวการวางเพลิงก็อยู่ที่นี่เช่นกัน
หลังจากนั้นเท็ดดียังคงสอบปากคำผู้ป่วยที่เคยพบกับเรเชลเป็นคนสุดท้าย ผู้ป่วยคนนั้นแอบเขียนข้อความบางอย่างลงสมุดของเท็ดดี โดยบอกเป็นนัยว่า “ให้หนีไป”
เท็ดดีบอกเรื่องของแอนดรูว์ แลดิสกับชัค ว่ามันถูกส่งมาเกาะชัตเตอร์เช่นกัน แต่อย่างไรก็ตาม เขาไม่ได้มีจุดประสงค์มาที่นี่เพื่อล้างแค้นแอนดรูว์ เท็ดดียังบอกอีกว่า เขาตั้งใจมาที่นี่เพื่อเปิดโปงเบื้องลึกเบื้องหลังของเกาะลึกลับแห่งนี้ เพราะเคยได้ข้อมูลลับจากผู้ต้องหาชื่อ “จอร์จ นอยซ์” มาว่า ความจริงแล้วเกาะชัตเตอร์มีการใช้ผู้ป่วยเพื่อการทดลองอย่างลับๆ ภายใต้การคุมของหมอคาวลีย์ คู่หูให้ความเห็นว่า การที่เขาถูกส่งมาที่เกาะนี้ อาจเป็นส่วนหนึ่งของ “ฉากที่ถูกจัดขึ้น” เพราะหากมีการทดลองผิดกฎจริง ทางการย่อมต้องมีส่วนรู้เห็น
หลังกลับไปที่สถานบำบัดท่ามกลางฝนฟ้ากระหน่ำ หมอคาวลีย์แจ้งว่า เราเจอเรเชลแล้ว เท็ดดี้รีบไปสอบปากคำ แต่เรเชลเกิดสติหลุดและทึกทักว่าเขาเป็นสามีและเริ่มคลุ้มคลั่ง หลังจากเหตุการณ์นั้นเท็ดดีมีอาการปวดศีรษะ โดยที่หมอคาวลีย์ให้ยาที่อ้างว่าจะช่วยบรรเทาอาการปวด หลังจากนั่งฟุบหลับไป เท็ดดีฝันถึงเรื่องในอดีตที่แสดงถึงปมในใจของเขาว่าเคยประสบเหตุการณ์อันน่าเศร้า เด็กผู้หญิงคนหนึ่งถามว่า “ทำไมไม่ยอมมาช่วยเธอ?” เท็ดดีตอบไปอย่างเศร้าสร้อยว่า ขอโทษ ตนมาช้าเกินไป…
เท็ดดี้สะดุ้งตื่นขึ้นมาดอยู่บนเตียง เพราะเกิดเสียงเอะอะโวยวาย เกิดเหตุไฟฟ้าขัดข้องทำให้ๆไฟดับไปทั่วสถาบำบัด เท็ดดีและคู่หูพากันแอบไปยัง “วอร์ด C” สถานที่หวงห้ามของเกาะ ซึ่งว่ากันว่าเป็นที่คุมขังนักโทษวิกลจริตร้ายแรง โดยที่จะเห็นว่าที่นี่ไม่ได้รับผลกระทบจากไฟฟ้าดับ อีกทั้งยังมีผู้คมเฝ้าอย่างเข้มงวด ชวนให้เขาสงสัยอย่างมาก
เท็ดดีแอบเข้าไปและพบกับนักโทษ จอร์จ นอยซ์ ถูกคุมขังอยู่ที่นี่ แม้เท็ดดี้จะจำหน้าตาเขาไม่ได้ แต่จอร์จกลับจำเท็ดดี้ได้เสมือนรู้จักดี จอร์จกล่าวโทษว่า…เรื่องทั้งหมดเป็นเพราะตัวเท็ดดีเอง นายต้องปล่อย “เธอ” ไป “เธอ” กำลังปั่นหัวนาย ถ้านายไม่ปล่อย…จะไม่มีวันได้ออกจากที่นี่!
แม้เท็ดดีจะยังไม่เข้าใจว่าจอร์จพูดถึงใคร แต่ก็ให้สัญญาว่าจะช่วยเขาออกไป แต่จอร์จกลับตอบมาอย่างไม่ใยดีว่า “นายช่วยใครไม่ได้หรอก” เป็นปริศนาทิ้งไว้
เท็ดดีเริ่มสังเกตว่า…ชัคคู่หูของเขามักจะแยกตัวออกไป โดยอ้างว่าจะไปรวบรวมข้อมูลจากคนไข้ เท็ดดีได้ตามชัคไป และเห็นชัคเหมือนจะเสียหลักตกหน้าผาจึงรีบตามลงไป เขาพบถ้ำหินที่อยู่ใต้หน้าผาและได้พบกับ “เรเชลตัวจริง” ที่นั่น! เธอบอกกับเขาว่า ความจริงตัวเองเป็นหมอ เธอไม่มีสามี ไม่มีลูก และแน่นอนว่าไม่กดน้ำใคร แต่เธอได้ไปรู้เห็นการทดลองลับที่มีการนำคนไข้มาผ่าเปิดหัวและแก้ไขเส้นประสาท เพื่อทำลายความทรงจำ และความเจ็บปวด เพื่อพัฒนาเป็นอาวุธให้กองทัพ เรเชลยังเตือนอีกว่า…สิ่งที่เป็นหลักฐานต่อคำพูดของเธอก็คือ ยาซึ่งหมอคาวลีย์เอาให้เท็ดดีกินนั่นเอง ตอนนี้ยาคงกำลังเริ่มออกฤทธิ์หลอนประสาททีละนิดๆ และจะทำให้ตัวเขา “กลายเป็นบ้า” เพื่อปิดปากคนนอกที่จะเข้ามาสืบความลับ
เท็ดดีกลับไปที่สถานบำบัดอีกครั้ง และถามหาชัคคู่หูที่เขาเชื่อว่าถูกปิดปากไปโดยคนบนเกาะ แต่หมอคาวลีย์กลับบอกกับเขาว่า “ไม่มีคู่หู คุณมาที่เกาะนี้คนเดียว” ??!
หลังจากนั้นเท็ดดีเริ่มมองเห็นสถานการณ์ที่เลวร้าย หมอของสถานบำบัดพยายามที่จะฉีดยาบางอย่างให้เขา เขาหนีออกมาแอบซุ่มตัวและแอบสร้างความวุ่นวายไปทั่วเกาะ เพื่อจะหาทางหนีไปจากที่นี่ แต่ในที่สุดเขาเลือกที่จะจบเรื่องนี้ด้วยการไปค้นหาความจริงที่ประภาคารต้องสงสัย ซึ่งอยู่ห่างออกไปลิบๆ
และนี่ก็คือไคลแมกซ์ของเรื่อง เมื่อเท็ดดีขึ้นไปบนหอสูงและพบกับ หมอคาวลีย์นั่งรออยู่อย่างรู้งาน อีกทั้งชัค คู่หูที่เขาตามหาก็เดินเข้ามาสมทบ แต่มาในฐานะของ “หมอชีแฮน” หมอคาวลีย์อธิบายว่าตัวเท็ดดีเองนั่นแหละคือ “คนไข้คนที่ 67” ผู้ป่วยที่มีชื่อว่า “แอนดรูว์ แลดิส”
จุดนี้เป็นกิมมิคของหนังที่อยู่ที่ว่าคนดูจะ “เชื่อ” เรื่องของใคร? จะเลือกเชื่อว่าสิ่งที่ดูมาทั้งหมดคือความจริง และเท็ดดีกำลังถูกใส่ร้ายเพื่อปิดปาก หรือ…
ความจริงคือเท็ดดีเป็นเพียงชื่อที่แอนดรูว์ ผู้ป่วยวิกลจริตสร้างขึ้นมาจากการเรียงสลับตัวอักษรภาษาอังกฤษในชื่อ จนกลายเป็นสองคน เรื่องราวที่เราดูมาตั้งแต่ต้นเป็นเพียง “บทบาทสมมติ” ที่คณะแพทย์ของเกาะชัตเตอร์เล่นตามน้ำเพื่อช่วยให้เขาระลึกความทรงจำในส่วนลึกที่ถูกกดไว้จนลืมเลือนได้…
ความทรงจำอันโหดร้ายที่ซึ่งความจริง เท็ดดีหรือแอนดรูว์นั่นเองเป็นผู้ที่ยิงโดโลเรสภรรยาของตน สาเหตุมาจากเธอมีอาการหลอนประสาทจากการที่สามีทิ้งไปสงคราม แล้วเผลอจับลูกกดน้ำในสระหน้าบ้าน และเด็กสาวที่เขาเคยเห็นในฝันจริงๆคือ “เรเชล” ลูกสาวคนเล็ก
บทสรุปของเรื่องหมอคาวลีย์ซึ่งเคยหวังว่าการแสดสวมบทบาทตามความต้องการของคนไข้ จะเป็นหนทางเยียวยาที่ได้ผลกับเคสอาการหนีความจริง ซึ่งหากไม่ได้ผล เขาจำเป็นต้องส่งแอนดรูว์เข้าโปรแกรมบำบัดผู้ป่วยอาการขั้นรุนแรงที่ประภาคาร ซึ่งเป็นวิธีที่มีความเสี่ยงสูง
วันรุ่งขึ้นหมอชีแฮนถูกส่งมาเฝ้าดูอาการของแอนดรูว์ ซึ่งอยู่ในชุดคนไข้ แต่แอนดรูว์ยังคงเรียกหมอชีแฮนว่าชัค คู่หูของเขา และกำลังคิดแผนที่หนีออกไปจากเกาะนี้ให้ได้ หมอชีแฮนส่งสัญญาณบอกว่าผลการรักษาอรหนีความเป็นจริงล้มเหลว คนไข้ยังคงมีอาการสร้างจินตนาการมาทับความเป็นจริง ผู้คุมจึงเดินเข้ามาพาตัวแอนดรูว์ไป แต่ก่อนไปแอนดรูว์เปรยออกมากับหมอชีแฮนว่า
“เราควรที่จะอยู่อย่างปิศาจ หรือเลือกตายอย่างคนดี”
ก่อนที่จะยอมตามผู้คุมไปอย่างไม่ขัดขืน
หมอชีแฮนเรียกเขาทิ้งท้ายด้วยชื่อ “เท็ดดี” และรู้ได้ทันทีถึงความหมายของคำพูดนั้น… บางทีแอนดรูว์อาจจะหายจากอาการหนีความเป็นจริงแล้ว หากแต่การจะยอมรับความจริงที่อยู่ตรงหน้าอันเลวร้ายนั้นยากหนักหนา บางทีการยอมตายในขณะที่ยังเป็นเท็ดดี คดีกว่าการได้มีชีวิตอยู่ต่อในฐานะของแอนดรูว์ผู้ซึ่งเคยก่อคดีโศกนาฏกรรมอันโหดร้ายราวปีศาจ
ตัวหนังทิ้งคำใบ้จากอาการของพระเอก และการปรากฎตัวของผีภรรยาของพระเอกให้เห็นว่าความเชื่อของเขานั้นมีจุดขัดแย้งกับความเป็นจริง ซึ่งมาถึงตรงนี้ก็สอดรับกับข้อสรุปว่าความจริงพระเอกเป็นบ้าตั้งแต่ต้นเรื่องแล้วได้อย่างไม่ยัดเยียด กับตอนสุดท้ายซึ่งพระเอกเลือกที่จะไม่สนใจความเป็นจริงที่อยู่ตรงหน้า และอยู่กับตัวเองในปัจจุบันก็ไปคล้ายกับหนังเรื่อง Inception ซึ่งลีโอนาโดก็รับบทนำเช่นเดียวกัน ซึ่งฉากสุดท้ายคอปป์พระเอกของเรื่องก็เลือกที่จะไม่รอดูโทเทม หรือเครื่องมือแยกแยะระหว่างโลกความจริงกับโลกในฝัน แต่หันไปใช้ชีวิตขณะนั้นซึ่งมีลูกๆองเขารออยู่พร้อมหน้า
บางทีเรื่องจริงหรือความฝันก็อาจะไม่สำคัญ เท่าว่าเราเลือกอย่างเต็มใจหรือไม่…
ในหนังเราจะเห็นว่าพระเอกอย่างเท็ดดีนั้นสูบบุหรี่จัด เขามีไม้ขีดไฟพกติดตัวไว้ตลอดเวลา และไม้ขีดนี้ก็ถือว่าเป็นสัญลักษณ์อย่างหนึ่งในหนังเรื่องนี้ผู้ชมได้ตีความ ในแต่ละซีนที่เท็ดดีจุดไฟจากไม้ขีด มันช่างชวนให้นึกถึงนิทานเรื่องสั้นของเดนมาร์กเรื่องหนึ่งอย่าง “หนูน้อยขายไม้ขีดไฟ” ของฮันส์ คริสเตียน แอนเดอร์เซน
เรื่องราวของนิทานนั้นมีอยู่ว่า สาวน้อยคนหนึ่งถูกบังคับโดยพ่อเลี้ยงของเธอ ให้ออกมาเดินเร่ขายไม้ขีดไฟในคืนวันคริสมาสต์ ท่ามกลางหิมะขาวโพลนอันเหน็บหนาว หนูน้อยต้องอดทนต่อความหนาวเย็นและความหิว แต่ไม่ว่าจะพยายามอย่างไรก็ไม่มีใครอุดหนุนไม้ขีดของเธอสักกล่องในวันที่ทุกคนง่วนอยู่กับเรื่องของตัวเอง ในที่สุดเธอจึงเริ่มจุดไม้ขีดเพื่อขับไล่ความหนาวออกไป สายตาของเธอทอดมองออกไป ท่ามกลางผู้คนที่นั่งกินอาหารแสนอร่อยในบ้านที่มีเตาผิงอันอบอุ่น เมื่อเธอจุดไม้ขีดไฟที่ล่ะก้านๆ ไฟอันอบอุ่นช่วยให้เธอจะมองเห็นความสุขในอดีตที่เคยมี เธออยู่ในห้วงของภาพในอดีตที่แสนคิดถึงท่ามกลางอากาศหนาวเย็น กระทั่งเช้าวันถัดมา สาวน้อยเสียชีวิตลงท่ามกลางกองหิมะขาวโพลนกับไม้ขีดไฟที่จุดใช้แล้ว รายล้อมอยู่รอบตัวเธอ…
สิ่งที่คล้ายกันคือไม้ขีดไฟนั้นถูกใช้เป็นสัญลักษณ์ของแสงสว่างและความอบอุ่น ทว่า…มันก็เป็นเพียงแสงสว่างเพียงชั่ววูบเดียว มันช่วยเยียวยาบาดแผลในจิตใจได้ชั่วคราว ตัวเท็ดดีเองมีอดีตที่แสนปวดร้าวและเลือกจะโกหกตัวเองหนีโลกความเป็นจริงตรงหน้า เพื่อไม่ให้ต้องแบกรับความเจ็บปวดที่ฝังรากลึกเกินเยียวยา เช่นเดียวกันกับสาวน้อยขายไม้ขีดไฟ แม้ว่าจะต้องสูญเสียอะไรไปก็ตาม
ในฉากสุดท้ายของหนัง คือประภาคารที่อยู่ไกลออกไป ประภาคารลึกลับที่ลือกันว่าใครเข้าไปแล้ว ไม่มีคนได้กลับออกมาอีก เป็นปริศนาทิ้งทายที่หนังได้ถามเราว่า
“คุณมองเห็นมันอย่างไร?”
มันคือสถานที่ลึกลับอันน่ากลัว จุดจบของตัวเอก หรือสถานที่อันเป็นจุดหมาย ที่จะช่วยปลดปล่อยความเศร้าโศกของแดเนียล?
สปอยหนังผีน่ากลัว หนังสยอขวัญ เรื่องอื่นๆ >> คลิก
กลับสู่หน้าแรก สยองสแควร์